วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2561

English Book Review3: 13 Reasons Why


English Book Review3: 13 Reasons Why

รีวิวหนังสือ: 13 บันทึกลับหัวใจสลาย 


(เนอร์สไม่ค่อยปลื้มชื่อไทยเลย อยากตั้งเองว่า 13 เหตุผลเพราะอะไร (. .) )


      สวัสดีค่า วันนี้เนอร์สได้มารีวิวหนังสือภาษาอังกฤษเล่มที่3 แล้วนะ ตื่นเต้นๆๆ555  เนอร์สจะมารีวิวหนังสือ 13 Reasons Why ของคุณ Jay Asher ค่ะ หลายคนอาจจะเคยได้ยินซีรีย์ชื่อนี้จากทางช่อง Netflix มาบ้าง ส่วนเนอร์สอ่านหนังสือจบ ยังดูซีรีย์ไม่จบค่ะ แต่ส่วนตัวคิดว่าดีมากๆ ทั้งคู่ 



     มาดูข้อมูลเบื้องต้นของหนังสือกันก่อนเลย

Title:           13 Reasons Why
ชื่อไทย:       13 บันทึกลับหัวใจสลาย
Author:       Jay Asher
Category:    Young Adult Fiction
Pages:         288

Price:          £7.99 / ฿350.-
Store:          บูธ Asia books @งานหนังสือ ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์




เนอร์สได้ปกนี้มาค่ะ กลางเล่มมีภาพจากซีรีย์ให้หลายหน้ามาก ท้ายเล่มมีบทสัมภาษณ์ของนักเขียน ผู้กำกับ และนักแสดงให้อ่านด้วย แถมยังแจกเว็บช่วยเหลือด้านการแก้ปัญหาการฆ่าตัวตาย ล่วงละเมิดทางเพศ และการกลั่นแกล้งด้วยค่ะ คุ้มสุดๆเลย


Rate / คะแนนเนื้อหา : 10 / 10 !!!
Reason : *ส่วนที่เป็นสีแดงมีสปอยล์นะจ๊ะ*

      คะแนนสูงอีกแล้ววว แต่เนอร์สว่าเนื้อหาในเล่มเหมาะสมกับคะแนนนี้แล้วค่ะ เนื้อเรื่องโดยย่อก็คือ Clay ได้รับเทปที่ถูกส่งมาจาก Hannah เด็กสาวไฮสคูลที่เพิ่งฆ่าตัวตายไป ในเทปนั้นได้บอกเล่าถึง 13 สาเหตุที่เธอฆ่าตัวตาย โดยเธอกล่าวว่า ถ้าคุณกำลังฟัง แสดงว่าคุณก็เป็นหนึ่งในเหตุผล

    ประเด็นหลักของเรื่องนี้เนอร์สว่าอยู่ที่ปัญหาต่างๆ ระหว่างการเรียนมัธยมปลายหรือ High School ค่ะ ซึ่งเนอร์สคิดว่านี่เป็นไอเดียที่ดีนะ ไม่ค่อยมีนักเขียนคนไหนจับประเด็นเหล่านี้มาบอกเล่าผ่านตัวอักษรอย่างจริงจัง แต่คุณ Jay Asher กลับทำ แล้วก็ทำได้ดีเสียด้วย

    ปัญหาที่ Hannah เจอ มีตั้งแต่โดนคนที่ชอบหักหลัง เพื่อนในกลุ่มเลิกคบ  เพื่อนในโรงเรียนแอบตามถ่ายรูป โดนแกล้งทำดี โดนหลอก สารพัดอย่างเลยค่ะ 


บางคนอาจจะคิดว่าเว่อร์ไปหรือเปล่า มีเหตุการณ์แบบนี้จริงๆ เหรอ? 

 - ไม่เว่อร์ไปค่ะ และใช่ค่ะ มีเหตุการณ์แบบนี้จริงๆ แม้ที่เนอร์สเคยสัมผัสมาอาจจะซอฟต์กว่าในเรื่องเยอะ และยังมีอีกหลายอย่างที่เนอร์สไม่เคยเจอ แต่โรงเรียนมัธยมมีเรื่องแบบนี้จริงๆ 
    การกลั่นแกล้ง ใส่ร้าย นินทา และอินเทอร์เน็ตก็มีแต่ทำให้ทุกอย่างแย่ลง ความจริงถูกลบเลือน ข่าวลือกลับชัดเจน เหมือนที่ Hannah เจอมาตลอด 
     ที่น่ากลัวคือ ไม่มีใครกระตือรือร้นที่จะค้นหาความจริงหรือถามความจริงจากเจ้าตัวเลยค่ะ แม้แต่ Hannah เองก็เหนื่อยที่จะอธิบายหรือเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองแล้ว


ซีรีย์กับหนังสือต่างกันไหม? แล้วแบบไหนสนุกกว่ากัน?

  - เนอร์สยังดูซีรีย์ไม่จบนะคะ เท่าที่ดูก็รู้สึกว่าต่างกันพอประมาณ แต่ Main Idea หรือแก่นเรื่องยังอยู่ครบค่ะ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี คือไม่ทำให้เสียอรรถรสในการชม แนะนำให้ทั้งอ่านทั้งดูเลยค่ะ ใครยังไม่มีเงินซื้อหนังสือ ก็หาซีรีย์ดูไปก่อนได้ค่ะ555555


     การเล่าเรื่องทำได้ดีนะคะ เป็นการเล่าเรื่องผ่านมุมมองของ Clay Jensen ตัวเอกของเรื่อง ทำให้เราได้อ่านความรู้สึกของเขาที่มีต่อเหตุการณ์ต่างๆ ด้วย สำหรับเนอร์ส Clay เป็นคนดี เป็นคนประเภทเดียวกับนักเรียนธรรมดาหลายๆ คน คือไม่ใช่คนเลวร้าย แต่ก็ไม่ได้ดีเลิศถึงขนาดมีความกล้าที่จะพูดหรือหยุด เมื่อพบว่าเรื่องร้ายๆ กำลังเกิดขึ้นกับคนๆ หนึ่ง


     หนังสือเล่มนี้ให้อะไรกับเนอร์สเยอะมากเลยค่ะ เนอร์สชอบประโยคที่ว่า Everything affects everything  คือทุกๆ อย่างที่เราทำ มันส่งผลกระทบต่อทุกๆ อย่างเลย เวลาที่เราพูดหรือทำอะไรไม่ดีกับคนอื่น แม้มันจะเล็กน้อยหรือเรามองว่าแค่ล้อเล่น แต่เขาอาจจะเก็บไปนอนคิดทั้งวันทั้งคืนเลยก็ได้ เราไม่มีวันรู้ว่าสิ่งที่เราทำจะนำไปสู่อะไร


     ฝากหนังสือเล่มนี้ไว้ในอ้อมใจของทุกคนด้วยนะคะ


Please be kind to everyone around you. 
If you can't? Then be quiet.

อาจฟังดูแรง แต่เป็นความจริงค่ะ บางคำพูดถ้าพูดไปแล้วทำร้ายคนอื่น ก็ควรเก็บไว้จะดีกว่า




My Favourite Moment: Casette 5 Side A, Page 208-209


Hannah:     I couldn't believe it. Out of the blue, there you were.

Clay:          It was anything but out of the blue.
         'I don't know why but I think we need to talk'

Hannah:    And I agreed, with probably the dumbest smile plastered on my face.

Clay:         No. 
                The most Beautiful.



คะแนนความยากของภาษาที่ใช้: 3/10

Reason:
          ภาษาไม่ยากเลยยยย คุณผู้อ่านไม่ต้องกังวลเลยค่ะ เล่มนี้ผู้ที่อยู่ระดับ Intermediate ขึ้นไปอ่านได้ฉลุยค่ะ ส่วน Beginner ก็น่าจะอ่านได้นะคะ อาจจะติดแสลงหรือสำนวนบ้าง แต่เสิร์ชหารับรองเจอแน่นอน หรือถ้าไม่เจอมาคอมเม้นถามเนอร์สได้เลยค่ะ555

         คุณ Dashner ว่าใช้ศัพท์ง่ายแล้ว คุณ Asher ง่ายกว่าค่ะ หน้านึงเนอร์สมีคำที่ไม่รู้ประมาณ 2-3 คำเอง น้อยมากจนหน้าตกใจเนอะ555 บางหน้าคือไม่มีคำที่ไม่รู้เลยค่ะ 


ตัวอย่างประกอบการตัดสินใจ+ชอบหน้านี้เลยแนบมาให้ชมค่ะ





เวลาที่ใช้ในการอ่าน: 15 เมษายน - 19 เมษายน 2561 / 5 วันค่าาา Amazing Thailand!!! 555555+ เพราะหนังสือสนุก ศัพท์ไม่ยาก และมีไม่ถึง 300 หน้าค่ะ




             ความจริงเนอร์สยังตั้งใจทำเป็นบันทึกไว้อ่านเองเหมือนเดิม แต่ถ้าใครหลงเข้ามาอ่านจนจบ ก็ขอบคุณมากๆ ค่ะ เจอกันเมื่อเนอร์สอ่านเล่มต่อไปจบเนอะ❤


วันเสาร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2561

English Book Review2: The Death Cure (The Maze Runner3)

English Book Review2: The Death Cure (The Maze Runner3)


รีวิวหนังสือ: ไข้มรณะ (วงกตมฤตยู 3)



     ในที่สุดเนอร์สก็มีได้มารีวิวหนังสือภาษาอังกฤษที่อ่านจบเป็นเล่มที่ 2 แล้วค่าาา นึกว่า The Scorch Trials จะเป็น One and only ซะแล้ว555 


     มาค่ะ! ไปดูข้อมูลเบื้องต้นของหนังสือเล่มนี้กันเลย

Title:           The Death Cure
ชื่อไทย:        ไข้มรณะ
Author:       James Dashner
Category:    Science Fiction
Pages:         325
Price:          $10.99 / ฿350.-
Store:          บูธ Asia books @งานหนังสือ ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์



(เนอร์สเลือกซื้อปกแบบนี้มาค่ะ Dylan หล่อออ กลางเล่มมีภาพจากหนังให้นิดหน่อยด้วย ส่วนท้ายเล่มมีตัวอย่าง The Kill Order และ The Fever Code ให้อ่านอย่างละ 2 บท พร้อมกับ The Eye of Minds อีกบทนึงค่ะ)




Rate / คะแนนเนื้อหา : 9 / 10
Reason : *ส่วนที่เป็นสีแดงมีสปอยล์นะจ๊ะ*

     คะแนนสูงเหมือนเดิมเลยยย แต่ที่ให้เยอะก็เพราะว่าหนังสือเขาดีจริงๆ ค่ะ อาจจะเป็นเพราะว่าเนอร์สเป็นคนชอบอ่านหนังสือแนวนี้อยู่แล้ว เลยรู้สึกตื่นเต้นตามทั้งเล่มเลยค่ะ

    เจมส์ แดชเนอร์เป็นนักเขียนที่มีความสามารถค่ะ บรรยายการทำงานของวิคเค็ด การทดลอง การหายารักษา ลักษณะไข้วาบ ที่เป็นเรื่องซับซ้อนให้เราเข้าใจได้ง่ายมากๆ อ่านเป็นภาษาอังกฤษยังไม่มีปัญหาเลย การบรรยายฉากต่อสู้ หลบหนี ก็เห็นภาพตามหมด ชื่นชมค่ะ

    พาร์ทอารมณ์คุณแดชเนอร์ก็ยังทำได้ดีเหมือนเคย และอาจจะมากกว่าเดิมด้วย แต่ แต่ แต่! สำหรับเนอร์สรู้สึกว่ามันยังไม่สุดค่ะ ในเล่มสุดท้ายของซีรีย์นี้มีฉากดราม่าค่อนข้างเยอะ ที่หนักๆ เนอร์สยกให้ 3 ฉากนี้ค่ะ

  1. เพื่อนๆ ไปตามนิวท์กลับจาก Crank Palace 
  2. ตอนนิวท์ตาย
  3. ตอนเทเรซ่าตาย
    3 ฉากนี้ที่เนอร์สชอบที่สุด คงเป็นตอนเพื่อนๆไปตามนิวท์ให้กลับไปด้วยกันค่ะ รู้สึกว่าทำออกมาสมบูรณ์แล้ว ส่วนตอนที่นิวท์กับเทเรซ่าตาย เนอร์สยอมรับว่าคาดหวังไว้มาก เพราะเป็นคนที่ดูหนังก่อน แล้วค่อยมาอ่านหนังสือ ในหนังทำให้เนอร์สร้องไห้ตามได้เลย ไม่ได้ฟูมฟายมากมาย แค่ซึ้งๆ เศร้าๆ แล้วอยู่ดีๆ แก้มก็เปียกค่ะ555555


     ส่วนฟีลลิ่งที่ได้จากหนังสือ จะเป็นความรู้สึกเศร้าๆ เหมือนเขาค่อยๆบิวท์มาละ เราก็เศร้าตามนะ แต่อยู่ดีๆก็จบ แล้วตัดไปฉากอื่นเสียเฉยๆ เนอร์สตะโกน(ในใจ)ดังมากว่า เดี๊ยวววว คุณเจมส์ หนูเปลี่ยนอารมณ์ไม่ทั้น - - 
     ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราหักคะแนนส่วนนี้ไป 0.5 คะแนนค่ะ อีก 0.5 จะเป็นเรื่องความไม่สมเหตุสมผลนิ๊ดดดหน่อยเหมือนเดิมค่ะ 

     อีกเรื่องที่อยากงอแงคือ การวางบทตัวละครเทเรซ่าค่ะ คาแรคเตอร์เทเรซ่าในหนังกับหนังสือต่างกันพอสมควรเลย ในหนังสือดูเป็นคนดีและน่าสงสารมากกว่า ดูรักโทมัสมากๆด้วย ทำเพื่อเขาตลอด แม้แต่ชีวิตก็ให้ได้ //ปิดหน้าร้องไห้ T T


ถ้าถามว่าหนังสือต่างจากหนังมั้ย? 

      ขอตอบว่าต่างมากค่ะ การตายของนิวท์กับเทเรซ่ายังต่างเลย ด้วยความที่ภาคสองก็ต่างจากหนังสือมากอยู่แล้ว ภาคสุดท้ายนี้ก็คงต้อง Follow ภาคที่แล้วไปตามปริยาย 


หนังกับหนังสืออันไหนสนุกกว่ากัน?

      ตอบลำบากมากค่ะ ขอเชิญทุกคนร่วมค้นหาคำตอบด้วยตนเองโดยการทั้งดูหนังและซื้อหนังสือ55555 ในภาคที่แล้ว เนอร์สเลือกว่าหนังสือสนุกกว่าเนอะ แต่มาภาคนี้ลำบากใจค่ะ เพราะมีบางอย่างที่ชอบในหนังแต่ไม่ชอบในหนังสือ ชอบในหนังสือ แต่ไม่มีในหนัง อย่างฉากจบ ส่วนตัวเนอร์สก็ชอบในหนังมากกว่า เพราะรู้สึกว่าในหนังสือตัดจบห้วนไปหน่อย ขออนุญาตตอบว่าชอบเท่ากันนะคะ


     อย่างไรก็ตาม เนอร์สก็แนะนำให้ทุกคนลองซื้อหามาอ่านกันนะคะ เนอร์สอาจมีฉากที่ไม่ปลื้มบ้าง แต่ไม่เคยมีสักวินาทีที่อ่านแล้วรู้สึกผิดหวังที่ซื้อมาเลยค่ะ ใครชอบหนังเรื่องนี้ ชอบนิยายแนวนี้ หรืออยากฝึกภาษาอังฤษ อย่ามัวแต่รีรอ ไปสอยด่วนเลยจ้าาา



My Favourite Moment: Chapter 38, Page 184

        'I'm not well' Newt said. 
        'Honestly, I appreciate you buggin' shanks coming for me. I mean it. But this is where it bloody ends. This is when you turn around and walk back out that door and head for your Berg and fly away.
        ...Do you understand?'
      
        'No, Newt, I don't understand.' Minho said. 
        'We risked our necks to come to this place and you're our friend and we're taking you home. You wanna whine and cry while you go crazy, that's fine. But you're gonna do it with us, not with these shuck Cranks.'

         (ประทับใจแรงมากกก รู้เลยว่ามิตรภาพระหว่างพวกเขายิ่งใหญ่แค่ไหน อยากให้ทุกคนได้ลองอ่านเต็มๆ นะคะ)



คะแนนความยากของภาษาที่ใช้: 4/10

Reason:
      เนอร์สให้เท่าเล่ม 2 เลยค่ะ ด้วยความที่เป็นนักเขียนคนเดิม ระดับภาษาเลยมีความยากเท่าเดิม(มั้ง) คุณแดชเนอร์ไม่ใช่คนชอบบรรยายด้วยภาษายาก แปลกตา อลังการเว่อร์วังค่ะ ซึ่งเนอร์สชอบข้อนี้มากๆ555 แต่สิ่งที่เล่มนี้ต่างจากเล่มก่อนน่าจะเป็น slang กับ Idioms ที่เจอได้เยอะกว่าเดิมค่ะ ซึ่งเนอร์สได้รวบรวมบางส่วนไว้ให้ในตอนท้าย เผื่อจะเป็นประโยชน์ให้หลายคนได้นำไปใช้นะคะ

    เรื่องของคำศัพท์ที่ใช้ เนอร์สไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่าอยู่ระดับไหนดี น่าจะอยู่ระดับกลางค่ะ ผู้ที่ภาษาอังกฤษอยู่ในระดับ Intermediate ขึ้นไปน่าจะอ่านเข้าใจ หน้านึงมีศัพท์ที่เนอร์สไม่รู้ประมาณ 4-5 คำ ส่วนใหญ่จะเป็น Adjective หรือ Adverb แปลกๆ ค่ะ เช่น disoriented, deteriorate, bulge, weaselly, spiffy, vivid, peachy, inexplicable, gingerly, cranny ประมาณนี้ค่ะ



สำนวนน่าสนใจต่างๆ
  1. Somehow, some way            =     ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง คล้าย One way or another ค่ะ
  2. Rise and shine                     =     ตื่นได้แล้ว
  3. It was the final straw           =     นั่นเป็นฟางเส้นสุดท้าย
  4. It was now or never             =     ถ้าไม่ทำตอนนี้ก็ไม่มีโอกาสแล้ว
  5. Drink to that                       =     เห็นด้วยมากๆ 
  6.  That's that                         =     จบนะ (ใช้พูดปิดท้ายประโยคค่ะ เวลาอยากจบการสนทนา)
  7. One's nerves are shot          =     หมดความอดทน/ ฟิวส์ขาด
  8. Let bygones be bygones      =     อะไรที่มันผ่านมาแล้ว ก็ให้แล้วกันไป
  9. The sooner, the better       =     ยิ่งเร็วยิ่งดี
  10. It all rests on your shoulder =     ทั้งหมดขึ้นอยู่กับคุณ
  11. Got a lot of nerve              =     กล้าบ้าบิ่นมาก
  12. Rub it in                            =     ทำให้ขายหน้า, เอาไปป่าวประกาศ
    
เวลาที่ใช้ในการอ่าน: 4 เมษายน - 14 เมษายน 2561 / 10 วันพอดีเป๊ะ! ดีใจม้าก เล่มแรกใช้เวลาเดือนนึงค่ะ555




     ผู้ใดที่หลงเข้ามาอ่านรีวิวนี้ เนอร์สก็ต้องขอขอบคุณมากๆนะคะ ใครอยากสอบถามอะไร หรืออ่านแล้วอยากจะมาหวีดด้วยกัน คอมเม้นด้านล่างได้เลยยย พร้อมพูดคุยเสมอค่ะ💕


วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2561

English Book Review1: The Scorch Trials (The Maze Runner2)

English Book Review: The Scorch Trials (The Maze Runner2)

รีวิวหนังสือ: สมรภูมิมอดไหม้ (วงกตมฤตยู 2)




     สวัสดีค่าาา วันนี้เนอร์สจะมารีวิวหนังสือ The Scorch Trials หรือ The Maze Runner ภาค 2 ของคุณ James Dashner นะคะ เนอร์สซื้อแบบภาษาอังกฤษมาอ่าน ไม่เคยอ่านฉบับภาษาไทยมาก่อนเลย นี่เป็นนิยายภาษาอังกฤษเล่มแรกที่เนอร์สอ่านจบค่ะ ที่อ่านจบไปเยอะๆ คือเรื่องสั้นทั้งนั้น 555


ข้อมูลเบื้องต้นตามด้านล่างเลยค่ะ



Title:           The Scorch Trials
ชื่อไทย:        สมรภูมิมอดไหม้
Author:       James Dashner
Category:    Science Fiction
Pages:          361
Price:           $10.99 / ฿350.-
Store:          Asia books @B2S Central Pinklao




(ท้ายเล่มแถม The Death Cure กับ The Eye of Minds ให้อ่านอย่างละบทด้วยค่ะ หว่านล้อมสุดดด)




Rate / คะแนนเนื้อหา: 9.5/10

Reason: *ส่วนที่เป็นสีแดง คือรีวิวที่มีสปอยล์นะคะ*


    ขอออกตัวก่อนเลยว่าเนอร์สไม่ได้เป็นคนซีเรียสเรื่องการให้คะแนนหนังสือมาก ไม่ได้วิเคราะห์อะไรมากมาย คือถ้าชอบ ถ้าสนุก ก็ให้คะแนนสูงๆไปเลย แล้วค่อยมาหักสิ่งที่เราคิดว่าเป็นข้อเสียทีหลัง สำหรับหนังสือเล่มนี้ เนอร์สไม่ผิดหวังเลยค่ะที่ซื้อมาอ่าน

     เนอร์สรู้สึกว่าคุณแดชเนอร์เป็นนักเขียนที่มีความสามารถมาก สามารถบรรยายเหตุการณ์ สถานการณ์ ลักษณะหรือความรู้สึกของตัวละครออกมาได้อย่างชัดเจน แถมยังเก่งเรื่องการบีบหัวใจและกดดันคนอ่านอีกด้วย เขียนฉากต่อสู้ ฉากผจญภัยก็ดี ฉากอารมณ์ก็ดี ถึงจะเป็นภาษาอังกฤษ แต่อ่านแล้วรู้สึกอยากอ่านต่อเรื่อยๆเลยค่ะ แทบวางไม่ลงเลย

    อีกสิ่งที่ชอบก็คือ การจัดจำนวนหน้าต่อหนึ่งบทของคุณแดชเนอร์ค่ะ บทนึงมีประมาณ 4-6 หน้า ทำให้เรารู้สึกว่าแต่ละบทผ่านไปไว แล้วก็มีกำลังใจะอ่านต่อเรื่อยๆ พอเบื่อก็พักได้เป็นช่วงๆ


   คะแนนที่หักไป 0.5 เป็นเรื่องความไม่สมเหตุสมผลนิดหน่อยค่ะ เนื่องจากวิคเค็ดชอบย้ำเสมอเลยว่าโทมัสและเพื่อนๆ ทุกคนสำคัญ แต่จากการกระทำที่ผ่านมา ทุกการทดลองที่ให้เข้าร่วม มันหนักหนาสาหัส มันโหดร้ายจริงๆ แถมยังฆ่าคนเหมือนผักปลา เนี่ยเหรอที่บอกว่าสำคัญ? เลยขอหักคะแนนซะเลยยย


    ส่วนตัวเนื้อเรื่อง ในหนังสือต่างจากภาพยนตร์ค่อนข้างเยอะนะคะ ถ้าถามว่าอันไหนสนุกกว่า เนอร์สคงต้องตอบว่าแล้วแต่คนชอบค่ะ บางคนบอกว่าแบบหนังไม่สนุกเลย แต่เนอร์สก็ว่าสนุกดีค่ะ (เนอร์สดูหนังก่อน แล้วค่อยมาตามอ่านหนังสือทุกภาคเลยค่ะ) แต่ถ้าให้เลือกจริงๆ เนอร์สก็ขอเลือกหนังสือ เพราะรู้สึกว่ามีความสมเหตุสมผลมากกว่า หลายๆฉากก็ตื่นตาตื่นใจกว่าด้วย



     ซีนที่เนอร์สชอบที่สุด คือตอนเทเรซ่ากับอริสจำเป็นต้องหักหลังโทมัส โดยการล่อให้เข้าไปในถ้ำ พูดจาทำร้ายจิตใจ โยนเข้าห้องรมแก๊ส พอโทมัสสู้ก็ฟาดหัวซะเลย ตอนที่อ่านเนอร์สสงสารโทมัสมาก เจ็บทั้งกายเจ็บทั้งใจ แต่เทเรซ่าก็มีเหตุผลของเธอนะ มันบีบหัวใจจริงๆ เหตุการณ์นั้นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เนอร์สเสียดายความสัมพันธ์ของสองคนนี้มากกกก เขารักกันมาแต่เด็กก็อยากให้เขาคู่กันอ่ะเนอะ ฮือ T^T




My Favourite Moment: Chapter 55, Page 313


       Teresa didn't hesitate. She wrapped her arms around Thomas's neck, pulling him in. He didn't have enough will to resist.

       They kissed but nothing stirred inside Thomas.

       He felt nothing.


    (เป็นฉากบรรยายอาการของคนหมดใจโดยแท้ T T)




คะแนนความยากของภาษาที่ใช้: 4/10

Reason:

     ไม่ใช่ว่าให้ 4 แล้วไม่ดีนะคะ แต่เนอร์สให้แค่ 4 เพราะรู้สึกว่าระดับภาษาไม่ได้ยากเลย Rate ของเนอร์สคือถ้าอยู่ในระดับที่อ่านรู้เรื่องคะแนนความยากจะไม่เกินครึ่ง คือไม่เกิน 5 ค่ะ
   
      คุณแดชเนอร์เลือกใช้ศัพท์ดีแล้ว คำศัพท์ไม่ยากมาก หน้านึงมีคำที่ไม่รู้ไม่เกิน 10 คำ ส่วนใหญ่แค่ประมาณ 4-5 คำค่ะ มีแสลงหรือ Idioms บ้าง แต่เสิร์ชกูเกิ้ลก็เจอ คำที่เนอร์สไม่ค่อยรู้ส่วนใหญ่จะเป็น Phasal Verb ที่มารวมกันแล้วมีความหายใหม่ หรือ Verb กับ Adjective หน้าตาแปลกๆ ค่ะ เช่น rattle, squeal, retort, yelp, nudge, hideous, disoriented, perplexed, exasperated ประมาณนี้ค่ะ


เวลาที่ใช้ในการอ่าน: 2 มีนาคม - 2 เมษายน 2561 / 1 เดือน





    โดยรวมเนอร์สก็แนะนำให้คนที่อยากฝึกภาษาอังกฤษลองซื้อมาอ่านนะคะ ระดับ Intermediate ขึ้นไปน่าจะอ่านไหวค่ะ ความจริงอยากทำเป็นบันทึกไว้อ่านเอง แต่ใครที่กดเข้ามาอ่านก็ขอบคุณมากนะคะ❤