วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2561

English Book Review6: The Boy in the Striped Pyjamas

English Book Review6: The Boy in the Striped Pyjamas

รีวิวหนังสือ: เด็กชายในชุดนอนลายทาง


      สวัสดีค่ะทุกคนนน เนอร์สกลับมาแล้วค่า ในโพสต์นี้เนอร์สจะมารีวิวหนังสือที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อผ่านหูผ่านตามาบ้างจากการถูกสร้างเป็นภาพยนตร์นะคะ 
       มาดูข้อมูลเบื้องต้นของหนังสือเล่มนี้กันก่อนเลยยยยย


Title:           The Boys in the Striped Pyjamas
ชื่อไทย:        เด็กชายในชุดนอนลายทาง
Author:      John Boyne
Category:   Vintage/Classics/Drama
Pages:         223
Price:          ฿325.-
Store:          บูธ Asia Books @งานหนังสือ ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์




Rate / คะแนนเนื้อหา : 9 / 10
Reason: *ส่วนที่เป็นสีแดงมีสปอยล์นะคะ*


       ขอเล่าเรื่องย่อๆ ก่อนเลยนะคะ เรื่องมีอยู่ว่า บรูโน่ เด็กชายวัย 8 ขวบต้องย้ายบ้านกะทันหัน จากที่เคยอยู่กลางเมืองใหญ่กลับต้องไปอยู่ในย่านชนบท เนื่องจากพ่อของน้องซึ่งเป็นทหารนาซีถูกย้ายให้ไปคอยคุมค่ายกักกันเชลยชาวยิวที่อยู่แถบชานเมืองค่ะ แน่นอนว่าหนูน้อยวัย 8 ขวบไม่ได้ตระหนักเลยว่าขณะนี้ทั่วโลกกำลังอยู่ในช่วงวิกฤติสงคราม น้องได้ไปเจอกับ ชามูแอล เด็กชายในชุดนอนลายทางที่อาศัยอยู่ในค่ายกักกันโดยบังเอิญ และกลายเป็นเพื่อนสนิทกันในเวลาไม่นาน

       ถ้าจะชมอะไรในเรื่องนี้ (ซึ่งความจริงมีหลายจุดที่อยากจะชมมากๆ) จุดแรกที่เนอร์สขอชมคงจะเป็นตัวผู้เขียนค่ะ คุณจอห์นเก่งมากกกกกก มากถึงมากที่สุดเลยค่ะในเรื่องของการบรรยาย การบรรยายให้เรารู้สึกสะเทือนใจตามนี่ทำได้ดีมากเลยค่ะ บางฉากอ่านแล้วรู้สึกหดหู่ ใจหาย แต่สิ่งที่ทำให้เนอร์สรู้สึกว่าคุณจอห์นพิเศษกว่านักเขียนท่านอื่น ก็ตรงที่เขาสามารถบอกเล่าเรื่องราวทั้งเรื่องผ่านมุมมองของเด็กชายวัย 8 ขวบได้อย่างสมบูรณ์แบบนี่แหละค่ะ

      เนอร์สชื่นชมตรงจุดนี้จริงๆ เพราะไม่เคยอ่านหนังสือที่เล่าเรื่องราวผ่านมุมมองของเด็กมาก่อน และยิ่งเล่มนี้เป็นเรื่องราวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว เนอร์สว่ามันยากมากๆ ที่จะถ่ายทอดทุกอย่างออกมาผ่านสายตาเด็กให้ผู้อ่านทุกคนเข้าใจ แต่คุณจอห์นทำออกมาได้ยอดเยี่ยมจริงๆค่ะ

       หนังสือไม่ได้ปล่อยความรู้สึกมืดมนตลอดทั้งเล่มนะคะ บางบทก็มีฉากน่ารักๆ ของบรูโน่ที่ทำให้เนอร์สยิ้มตาม อย่างตอนที่น้องถามความคิดเห็นจากแม่บ้าน เพราะคิดว่าเธอเป็นส่วนนึงของครอบครัวนี่ก็น่ารักมากๆ เลยค่ะ แม่บ้านที่เครียดๆ อยู่ยังแอบยิ้มเลย คนอ่านก็ยิ้มตามเหมือนกัน หลายๆ ฉากที่ได้ไปเที่ยวเล่นกับชามูแอล ได้อ่านบทสนทนาที่เด็กๆ เขาคุยกัน ก็ให้ความรู็สึกสดใสมากๆ เลยค่ะ สื่อถึงความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเด็กได้ดี 

       ถ้ามองในแง่ของการบอกเล่าประวัติศาสตร์ เนอร์สก็ไม่มีอะไรจะติค่ะ คิดว่าทำได้ดีแล้ว ไม่มีตอนไหนเลยที่ผู้เขียนบอกชื่อของหัวหน้าพรรคนาซี หรือ "อดอล์ฟ ฮิตเลอร์" ออกมาตรงๆ แต่อ่านจากลักษณะที่บรูโน่บรรยาย ท่าทางที่ทำ ชื่อภรรยา ก็เดาได้ไม่ยากเลยค่ะ การบรรยายลักษณะค่ายกักกัน การแต่งกายของเชลยชาวยิว การโดนทารุณ โดนทำร้าย โดนฆ่าอย่างไร้ความเมตตา ถ่ายทอดออกมาได้สะเทือนใจที่สุดเลยค่ะ

      ส่วนที่หักไป 1 คะแนน จะเป็นเรื่องของตอนจบเลยค่ะ โดยส่วนตัวเนอร์สคิดว่ามันควรไปได้สุดมากกว่านี้ สะเทือนใจเรียกน้ำตาได้มากกว่านี้ ดาร์กได้อีกค่ะ เพราะตอนดูหนังนี่เนอร์สร้องไห้เลยค่ะ พอมาอ่านหนังสือก็คือเหมือนทำใจรอแล้วค่ะ แต่ปรากฎว่าพออ่านจบแล้วให้ความรู้สึกเหมือนเวลากำลังโดนคลื่นซัดใส่แล้วเราหลับตาตั้งรับเต็มที่ แต่ปรากฎว่าพอลืมตามาแล้วดันไม่มีอะไรเกิดขึ้น แบบนั้นเลยค่ะ55555

      แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเฉยจนไม่รู้สึกอะไรเลยนะคะ ก็ยังหดหู่ค่ะ แค่น้อยกว่าที่คาดเอาไว้ คนเขียนเข้าใจเล่นกับความรู้สึกของผู้อ่าน โดยการเขียนให้บรูโน่มองโลกทุกอย่างในมุมมองของเด็กชายน่ารัก จิตใจดี พอตอนจบก็เหมือนหักอกเราเล่นๆ เลยค่ะ เหมือนหลอกให้พวกเรารักตัวละคร แล้วก็...นั่นแหละค่ะ ถ้าใครเคยดูหนังหรือเคยอ่านหนังสือแล้วก็คงเข้าใจเนอร์ส ส่วนถ้าใครยังไม่เคยลอง ไปลองดูลองอ่านกันนะคะ คุ้มค่าแก่เวลาที่เสียไปแน่นอนค่ะ



My Favourite Moment: Chapter 6-The Overpaid Maid, Page 60

     'So you don't like it here then?' asked Bruno.
     Maria frowned.  'It's not important' she said.
     'What isn't?' 
     'What I think'

     'Well, of course it's important' said Bruno 'You're part of the family, aren't you?'


น้องงงงง ทำไมน่ารักขนาดนี้ แง



คะแนนความยากของภาษาที่ใช้: 4/10
Reason:

         ความจริงคำศัพท์ไม่ยากมากค่ะ เพราะว่าเล่าเรื่องในมุมมองของเด็กด้วย ส่วนใหญ่เลยเป็นศัพท์ทั่วไป สำหรับเนอร์สคือหน้านึงจะมีศัพท์ที่ไม่รู้แค่ 1-2 คำเองค่ะ บางหน้าก็ไม่มีเลย แต่ก็อาจจะเจอโครงสร้างประโยคที่ซับซ้อนเข้าใจยากบ้าง เนื่องจากเป็นการเล่าเรื่องสงครามเนอะ และอีกส่วนนึงเนอร์สว่าน่าจะเป็นความตั้งใจของคนเขียนค่ะ ที่ตั้งใจสื่อสารผ่านตัวเอกที่เป็นเด็กทำให้น้องยังเรียบเรียงประโยคได้ไม่สละสลวยนัก

         ระดับคำศัพท์น่าจะอยู่ในช่วง Low Intermediate ค่ะ ตัวอย่างศัพท์ยากเช่นคำว่า summon, ointment, disdain, courtesy, distaste, triumphantly ประมาณนี้ค่ะ แต่ว่าสามารถเสิร์ชหาความหมายได้ในกูเกิ้ลเลยค่ะ หรือถ้ามีส่วนไหนสงสัย มาคอมเม้นถามเนอร์สได้นะคะ


เนอร์สมีหน้าที่ประทับใจเยอะมากๆ มาลองอ่านกันค่ะ


       สุดท้ายนี้ เนอร์สก็ขอขอบคุณผู้ที่อ่านมาจนจบเหมือนเดิมนะคะ เป็นบล็อคที่เนอร์สตั้งใจบันทึกไว้อ่านเอง แต่เล่มที่ผ่านๆ มามีคนอ่านเกินร้อยตลอดเลย ดีใจมากๆ ขอบคุณนะคะ แล้วเจอกันเมื่อเนอร์สอ่านเล่มหน้าจบนะคะ ถ้าอ่านจบเร็วอาจจะได้รีวิวภายในปีนี้ค่ะ 😊💓

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2561

English Book Review5: Love, Rosie

English Book Review5: Love, Rosie

รีวิวหนังสือ: รัก, เพื่อน


      สวัสดีค่ะทุกคนนน ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะคะ วันนี้เนอร์สมารีวิวหนังสือเล่มที่ 5 แล้ววว บางคนอาจจะเคยได้ยินชื่อหนังสือเล่มนี้มาแล้วจากการดูหนังชื่อเดียวกัน ซึ่งสำหรับ Love, Rosie เนอร์สดูหนังก่อนแล้วชอบมากๆ ก็เลยมาหาหนังสืออ่านค่ะ แบบหนังดีแค่ไหน แบบหนังสือคูณสิบเข้าไปเลยค่ะ!
     ก่อนอ่านรีวิวเรามาดูข้อมูลเบื้องต้นของหนังสือกันก่อนดีกว่าค่ะ

Title:           Love, Rosie
ชื่อไทย:     รัก, เพื่อน
Author:      Cecelia  Ahern
Category:   Romantic/ Comedy/ Drama
Pages:         558
Price:          ฿350.-
Store:          ร้าน Asia Books @The Mall Bang Kae เป็นร้านเล็กๆ ใครอยู่ใกล้ไปช่วยกันอุดหนุนเยอะๆ นะคะ

เล่มที่เนอร์สซื้อมาเป็นปกแบบนี้ค่ะ Lily กับ Sam น่ารักมากๆ T^T


Rate / คะแนนเนื้อหา : 9 / 10
Reason: *ส่วนที่เป็นสีแดงมีสปอยล์นะคะ*

     มาค่ะ เนอร์สพร้อมอวยแล้ว! เริ่มกันที่เรื่องย่อก่อนนะคะ เล่าให้เข้าใจสั้นๆ ง่ายๆ ก็คือ Alex Stewart และ Rosie Dunne เป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่ 5 ขวบเลยค่ะ เรียนไฮสคูลที่เดียวกัน แล้ววางแผนว่าจะไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย Harvard ด้วยกันที่อเมริกา แต่ดันมีเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสียก่อน ทำให้ชีวิตของทั้งคู่ต้องคลาดกันไป เกือบจะเรียกว่าตลอดกาลเลยก็ได้

    มาดูกันที่เนื้อเรื่องเลยค่ะ เนอร์สคิดว่าพล็อตดีมากๆ เป็น The Book of Friend Zone เลยค่ะ เรื่องนี้ใช้การเล่าเรื่องผ่านทางอีเมลกับการแชทค่ะ เหมือนเราอ่านสิ่งที่ Alex กับ Rosie เขียนถึงกัน เนอร์สว่าแปลกดีนะคะ เพราะสำหรับเนอร์สนี่เป็นครั้งแรกที่ได้อ่านนิยายที่เล่าเรื่องแบบนี้ เนอร์สชอบนะคะ แปลกใหม่มากๆ แถมยังเล่ารู้เรื่อง สมจริงอีกต่างหาก

    การบรรยายอารมณ์ต่างๆ เนอร์สว่าคุณ Cecelia ทำได้ดีมากกกกก มาทุกอารมณ์ค่ะ บางหน้าก็ขำตาม บางหน้าก็ยิ้ม หัวเราะ โกรธ หมั่นไส้ เจ็บปวด เศร้า อินหมดเลยค่ะ ชอบที่คนเขียนให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ทุกอย่างและความสัมพันธ์ทุกประเภทที่สามารถเกิดขึ้นได้กับคนๆ นึง มีทั้งความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูก พี่น้อง เพื่อนร่วมงาน เพื่อนสนิท เพื่อนบ้าน เจ้านายลูกน้อง และคนรัก มันทำให้เรื่องดูเรียลใกล้เคียงกับชีวิตคนจริงๆ มากๆ ค่ะ

    ส่วนการวาง Character ของตัวละครนะคะ เนอร์สมองว่าทำได้ดีมากๆ เช่นกันค่ะ โดยเฉพาะตัวดำเนินเรื่องอย่างนางเอกของเรา Rosie ถูกสร้างให้เป็นเหมือนผู้หญิงคนนึงที่มีตัวตนจริงๆ ไม่ได้เป็นแค่ตัวละครในนิยาย เธอมีมุมตลก มุมน่ารัก มุมร้ายๆ มุมเศร้า มุมงี่เง่า ผ่านทั้งการแต่งงาน มีลูก โดนนอกใจ เสียคุณพ่อ คุณแม่ ทะเลาะกับเพื่อน มีวิกฤติมากมายเกิดขึ้นในชีวิต องค์ประกอบเหล่านี้ช่วยขับเคลื่อนให้เนื้อเรื่องสมจริงมากขึ้นไปอีกค่ะ

    1 คะแนนที่หักไป ก็หักไปในส่วนของเนื้อเรื่องค่ะ มีบางจุดที่เนอร์สคิดว่าตัวละครทำไม่ถูกบ้าง หรือมีสิ่งที่ตัวละครไม่ควรทำ ก็เลยหักคะแนนตรงจุดนี้ค่ะ จะมองว่าเนอร์สเอาความคิดเห็นส่วนตัวมาตัดสินก็ได้ค่ะ ไม่มีข้อแก้ตัว แต่มันเป็นจุดที่เนอร์สมองว่ายังให้เต็มไม่ได้จริงๆ แต่เกือบแล้วนะ อีกนี้ดดดดเดียวเท่านั้นเองค่ะ



หนังกับหนังสืออะไรสนุกกว่ากัน?

 - ตอบยากอีกแล้ววว แต่ว่าขออนุญาตเลือกหนังสือละกันค่ะ เพราะแน่นอนว่าหนังสือมีรายละเอียดที่เจาะลึกมากกว่า สมเหตุสมผลมากกว่า แสดงความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติของตัวละครออกมาได้ลึกซึ้งกว่า ตัวหนังก็ดีนะคะ แต่ดำเนินเรื่องเร็วไปหน่อยนึง ซึ่งข้อนี้แล้วแต่คนชอบค่ะ บางคนอาจจะชอบกระชับแบบในหนัง แต่บางคนอาจจะชอบแบบไปเรื่อยๆ เหมือนในหนังสือค่ะ


หนังกับหนังสือต่างกันมากไหม?

 - ค่อนข้างต่างนะคะ ไทม์ไลน์ การดำเนินเรื่องต่างกันบางส่วนค่ะ แต่ที่ต่างมากๆ เห็นจะเป็นตอนจบค่ะ ในเรื่องของอายุพระ-นาง สำหรับใครที่ไม่กลัวสปอยล์ เนอร์สบอกเลยก็ได้ค่ะว่าในหนังจะได้รักกันตอนอายุประมาณ 30 กว่าๆ แต่ในหนังสือคือได้รักกันตอนอายุ 50 ค่ะ 50 จริงๆ ค่ะ อยู่หน้าสุดท้ายของเล่มเลยยย555555



My Favourite Moment: Part 5_Chapter 50, Page 553

      Today I love you more than ever; tomorrow I will love you even more.
      I need you more than ever; I want you more than ever.
      I'm a man of fifty years of age coming to you, feeling like a teenager in love,
      asking you to give me a chance, and love me back.



คะแนนความยากของภาษาที่ใช้: 3/10
Reason:
              คุณ Cecelia ใช้ภาษาสวยมากกกกกกค่ะ แต่ว่าศัพท์ไม่ยากเลย เป็นคำศัพท์ทั่วๆ ไป มีแสลงหรือตัวย่อบ้างตามแบบฉบับการคุยอีเมลหรือแชทกันบ้าง แต่สามารถเสิร์ชหาตามกูเกิ้ลได้ค่ะ ถ้าใครหาคำไหนไม่เจอลองมาคอมเม้นถามเนอร์สได้นะคะ ยินดีช่วยมากๆ ค่ะ

              ระดับคำศัพท์น่าจะอยู่ในช่วง Low Intermediate ค่ะ ตัวอย่างศัพท์ยากเช่นคำว่า enormity, brat, distraught, devastatingly, drool, appalled, flabbergasted ที่เหลือก็เป็นศัพท์ธรรมดาเลยค่ะ หน้านึงเนอร์สไม่รู้แค่ 2-3 คำ บางหน้าก็ไม่มีคำที่ไม่รู้ความหมายเลยค่ะ

              หนังสือยังมีคำพูดสวยๆ คมๆ อีกเยอะเลยค่ะ ภาพด้านล่างเป็นจำนวนหน้าที่เนอร์สประทับใจ ชอบหน้าไหนก็จะแปะโพสท์อิทไว้ รู้ตัวอีกทีก็เป็นแบบนี้แล้วค่ะ แหะๆ 😂





       สุดท้ายนี้ใครอ่านมาจนจบก็ต้องขอขอบคุณมากๆ เลยค่ะ หวังว่าการรีวิวนี้จะมีส่วนช่วยทุกท่านในการตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่านไม่มากก็น้อยนะคะ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ แล้วพบกันใหม่เมื่อเนอร์สอ่านเล่มต่อไปจบนะคะ💕💗


วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

English Book Review4: Love, Simon

English Book Review4: Love, Simon

รีวิวหนังสือ: บันทึกลับ ฉบับไซม่อน

          สวัสดีค่า เนอร์สเองค่ะ กลับมารีวิวหนังสือเล่มที่ 4 แล้ววว เป็นเล่มแรกที่อ่านจบตั้งแต่เปิดเทอมมาค่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่มกันเลยเนอะ :)


มาดูข้อมูลเบื้องต้นของหนังสือกันก่อนนน

Title:         Love, Simon
ชื่อไทย:   บันทึกลับ ฉบับไซม่อน
Author:    Becky Albertall
Category: Romantic/ Drama
Pages:      303
Price:       £7.99 / ฿350.-
Store:       ร้าน Asia books @The Mall Bang Kae ร้านอยู่ชั้น 3 เป็นบูธเล็กๆ ค่ะ ถ้าเนอร์สไม่ถามเจ้าหน้าที่ก็คงหาไม่เจอแน่ๆ ทีแรกนึกว่าไม่มีด้วยซ้ำ ใครอยู่แถวบางแคไปช่วยอุดหนุนกันเยอะๆ นะคะ คนซื้อคนอ่านน้อย เนอร์สเสียวร้านปิดมากกก T T


Simon, I would like to take you anywhere.
(เนอร์สซื้อปกนี้มาค่ะ)


Rate / คะแนนเนื้อหา : 9.5 / 10

Reason :  *ส่วนที่เป็นสีแดงมีสปอยล์นะจ๊ะ*

        ไซม่อนมาพร้อมกับคะแนนที่สูงลิ่วเลยยย ซึ่งคะแนนนี้เนอร์สเต็มใจให้มากๆ เลยค่ะ เพราะหนังสือเขาดีจริงๆ โทนของเล่มนี้จะเป็นแนวโรแมนติค ดราม่านะคะ แต่ทุกคนไม่ต้องกลัวเสียน้ำตาาา ในหนังเศร้ากว่าอีกค่ะ

        สำหรับเรื่องย่อนะคะ Love, Simon เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มไฮสคูลคนหนึ่ง ซึ่งค้นพบว่าตัวเองเป็นเกย์ แต่เขาไม่เคยบอกใครเลย จนวันหนึ่งเขาได้ไปพบกับกลอนที่ได้บอกเล่าความอึดอัดของการเป็นเกย์ผ่านตัวอักษร ซึ่งถูกโพสต์โดยบัญชีลึกลับที่ใช้ชื่อว่า Blue ไซม่อนรู้สึกว่าเขาอยากลองคุยกับคนๆ นี้มาก เขาจึงสมัครอีเมลล์ใหม่และทักไปคุยกับ Blue ทั้งสองคนคุยกันเป็นเวลานานหลายเดือน ความผูกพันธ์ของไซม่อนที่มีต่อบลูนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความอยากจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของบลูก็เช่นกัน

       เนอร์สชอบการเล่าเรื่องนะคะ ชอบองค์ประกอบ ชอบโทนของหนังสือมากๆ เป็นการบรรยายที่ทำให้เราคิดถึงบรรยากาศโรงเรียนมัธยมของเรา ไม่ได้มีแต่เรื่องดี ไม่ได้สวยงามไปซะทุกอย่าง แต่ก็น่าจดจำ หนังสือไม่ได้เน้นแค่เรื่องความรักเพศเดียวกัน แต่ยังสอนเรื่องครอบครัว ครูอาจารย์ มิตรภาพเพื่อนฝูงอีกด้วย ปฏิกิริยาของพ่อ แม่ พี่ น้อง ครู และเพื่อนๆ แต่ละคนตอนรู้ว่าไซม่อนเป็นเกย์นั้นน่าสนใจมากๆ

      ขอยอมรับเลยค่ะว่าช่วงแรกที่อ่าน เนอร์สเผลอคิดว่านิยายเรื่องนี้ค่อนข้างน่าเบื่อด้วยซ้ำ อาจจะเพราะการดำเนินเรื่องทีค่อนข้างเรื่อยๆ ไม่รีบไม่ร้อน และภาษาที่ไม่ใช่ภาษาแม่เรา ศัพท์ไม่รู้นิดหน่อย ศัพท์แสลงวัยรุ่นเล็กน้อย ทำให้เราอยากจะข้ามหรือหยุดพักบ้าง

      แต่ แต่ แต่!!! ปรากฎว่ายิ่งอ่านไปก็ยิ่งสนุกค่ะ ลุ้นขึ้นเรื่อยๆ ตื่นเต้นขึ้น เข้มข้นขึ้น เนอร์สลุ้นไปกับไซม่อน จินตนาการไปกับไซ่ม่อนเลยว่าบลูจะเป็นใครได้บ้าง ส่วนบลูในหนังสือละมุนมากค่าาา คือละมุนผ่านภาษาผ่านตัวอักษร จนเราสัมผัสได้เลยว่าคนๆ นี้ต้องน่ารักและใจดีมากแน่ๆ ไม่แปลกเลยที่ไซม่อนจะหลงรัก  ตอนช่วงหลังๆ ก็ไม่ได้มีการบรรยายหวือหวาอะไรนะคะ ตอนเปิดตัวบลูก็ไม่ได้มีอะไรมาก แต่ภาษาเบาๆ แบบนั้นก็ทำเนอร์สเขินสุดๆ แล้วค่ะ


ใครสนับสนุน LGBT อย่าพลาดนะคะ ไปลองอ่านกันเถอะค่ะ

หรือว่า Straight ชายจริงหญิงแท้คนไหนที่สนใจก็ไปลองได้นะคะ เปิดใจกว้างๆ แล้วมาอ่านหนังสือกันนน


คำถามยอดฮิต
หนังกับหนังสืออะไรสนุกกว่านะ?

- เนอร์สอ่านหนังสือจบแล้วค่อยดูหนังนะคะ บอกเลยว่าหนังสือกับหนังเนื้อเรื่องต่างกันพอสมควรเลยค่ะ ทั้งเรื่องคนที่ไซม่อนสงสัยว่าเป็นบลู การกระทำของบลูตัวจริง การโดนแบล็คเมลล์ ความสัมพันธ์กับลีอา ฉากเปิดตัวบลู หรือไทม์ไลน์ ช่วงเวลาการเกิดเหตุการณ์ต่างๆ แตกต่างกันทั้งหมดดด 
   โดยความเห็นส่วนตัวแล้ว เนอร์สชอบหนังสือมากกว่าค่ะ แต่ตัวหนังก็ดีนะคะ ใครยังไม่ดู เนอร์สก็แนะนำให้ไปลองดูค่ะ โทนหนังน่ารักมากกก จะหวาน จะเศร้า จะซึ้งก็ได้ เนอร์สนี่ไม่ถึงขั้นร้องไห้ แต่ก็มีอินน้ำตาซึม ที่เลือกชอบหนังสือมากกว่า เพราะว่ามันบรรยายความรู้สึกออกมาได้ละเอียดลึกซึ้งกว่าค่ะ อย่างตอนใกล้จบพอรู้ว่าบลูเป็นใคร ในหนังสือก็ยังมีบรรยายต่อให้เราได้เขินกัน แต่ตัวหนังมีเพิ่มมานิ๊ดดดนึง แล้วก็ตัดจบไป เนอร์สเลยอินหนังสือมากกว่าค่ะ


My Favourite Moment: Chapter32, Page 270

We're quiet for a moment.
"And I can't believe you rode the Tilt-A-Whirl for me"

"I must really like you," he says.

So I lean in toward him, and my heart is in my throat.

"I want to hold your hand," 

I say softly. Because I don't know if he's out.

"So hold it," he says.

And I do💕


       น่ารักๆๆๆๆๆ น่ารักมากกก บลูน่ารักกก อยากจะจับก็จับสิ แงงงงง



คะแนนความยากของภาษาที่ใช้: 4/10

Reason:
            ภาษาไม่ยากมากค่า แต่ก็ต้องตั้งใจอ่านนิดนึง เพราะว่ามีศัพท์แสลงหรือศัพท์หน้าตาแปลกๆ พอประมาณเหมือนกัน ประกอบกับชื่อเพลง ชื่อนักร้องเก่าๆ ของบ้านเขาก็ถูกหยิบยกมาพูดถึงบ่อยมากในเรื่องนี้ เราอ่านแล้วไม่รู้จักก็จะงงๆ อ่ะเนอะ แต่ถ้าเข้าใจเนื้อหาหลักก็โอเคแล้วค่ะ

            คำศัพท์โดยรวมหลักๆ แล้วอยู่ในระดับ Intermediate ค่ะ ไม่ต้องกลัวไม่เข้าใจนะคะ เรามีดิชชันนารี มีกูลเกิ้ลแปลภาษา ถ้าไม่รู้ก็เปิดก็เสิร์ชเลยยย หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ ยังไงก็ยังมีเนอร์สนะคะ มาคอมเม้นถามได้ในบล็อกเลยค่ะ ยินดีช่วยเหลือนะคะ

            ตัวอย่างศัพท์ยาก : giddy, rein, antsy, redundant, jittery, fuzzy, relocate, suburb, pretzel, seismic ประมาณนี้ค่ะ


โพสอิทที่ยื่นๆ ออกมาคือจำนวนหน้าที่เนอร์สประทับใจค่ะ555 อยากให้ทุกคนลองอ่านนะคะ

          สุดท้ายนี้ก็ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านเหมือนเดิมนะคะ เนอร์สตั้งใจทำบล็อกบันทึกไว้อ่านเอง แต่มีคนเข้ามาอ่านก็ดีใจค่ะ ไว้พบกันใหม่เมื่อเนอร์สอ่านเล่มหน้าจบนะคะ❤

วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2561

English Book Review3: 13 Reasons Why


English Book Review3: 13 Reasons Why

รีวิวหนังสือ: 13 บันทึกลับหัวใจสลาย 


(เนอร์สไม่ค่อยปลื้มชื่อไทยเลย อยากตั้งเองว่า 13 เหตุผลเพราะอะไร (. .) )


      สวัสดีค่า วันนี้เนอร์สได้มารีวิวหนังสือภาษาอังกฤษเล่มที่3 แล้วนะ ตื่นเต้นๆๆ555  เนอร์สจะมารีวิวหนังสือ 13 Reasons Why ของคุณ Jay Asher ค่ะ หลายคนอาจจะเคยได้ยินซีรีย์ชื่อนี้จากทางช่อง Netflix มาบ้าง ส่วนเนอร์สอ่านหนังสือจบ ยังดูซีรีย์ไม่จบค่ะ แต่ส่วนตัวคิดว่าดีมากๆ ทั้งคู่ 



     มาดูข้อมูลเบื้องต้นของหนังสือกันก่อนเลย

Title:           13 Reasons Why
ชื่อไทย:       13 บันทึกลับหัวใจสลาย
Author:       Jay Asher
Category:    Young Adult Fiction
Pages:         288

Price:          £7.99 / ฿350.-
Store:          บูธ Asia books @งานหนังสือ ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์




เนอร์สได้ปกนี้มาค่ะ กลางเล่มมีภาพจากซีรีย์ให้หลายหน้ามาก ท้ายเล่มมีบทสัมภาษณ์ของนักเขียน ผู้กำกับ และนักแสดงให้อ่านด้วย แถมยังแจกเว็บช่วยเหลือด้านการแก้ปัญหาการฆ่าตัวตาย ล่วงละเมิดทางเพศ และการกลั่นแกล้งด้วยค่ะ คุ้มสุดๆเลย


Rate / คะแนนเนื้อหา : 10 / 10 !!!
Reason : *ส่วนที่เป็นสีแดงมีสปอยล์นะจ๊ะ*

      คะแนนสูงอีกแล้ววว แต่เนอร์สว่าเนื้อหาในเล่มเหมาะสมกับคะแนนนี้แล้วค่ะ เนื้อเรื่องโดยย่อก็คือ Clay ได้รับเทปที่ถูกส่งมาจาก Hannah เด็กสาวไฮสคูลที่เพิ่งฆ่าตัวตายไป ในเทปนั้นได้บอกเล่าถึง 13 สาเหตุที่เธอฆ่าตัวตาย โดยเธอกล่าวว่า ถ้าคุณกำลังฟัง แสดงว่าคุณก็เป็นหนึ่งในเหตุผล

    ประเด็นหลักของเรื่องนี้เนอร์สว่าอยู่ที่ปัญหาต่างๆ ระหว่างการเรียนมัธยมปลายหรือ High School ค่ะ ซึ่งเนอร์สคิดว่านี่เป็นไอเดียที่ดีนะ ไม่ค่อยมีนักเขียนคนไหนจับประเด็นเหล่านี้มาบอกเล่าผ่านตัวอักษรอย่างจริงจัง แต่คุณ Jay Asher กลับทำ แล้วก็ทำได้ดีเสียด้วย

    ปัญหาที่ Hannah เจอ มีตั้งแต่โดนคนที่ชอบหักหลัง เพื่อนในกลุ่มเลิกคบ  เพื่อนในโรงเรียนแอบตามถ่ายรูป โดนแกล้งทำดี โดนหลอก สารพัดอย่างเลยค่ะ 


บางคนอาจจะคิดว่าเว่อร์ไปหรือเปล่า มีเหตุการณ์แบบนี้จริงๆ เหรอ? 

 - ไม่เว่อร์ไปค่ะ และใช่ค่ะ มีเหตุการณ์แบบนี้จริงๆ แม้ที่เนอร์สเคยสัมผัสมาอาจจะซอฟต์กว่าในเรื่องเยอะ และยังมีอีกหลายอย่างที่เนอร์สไม่เคยเจอ แต่โรงเรียนมัธยมมีเรื่องแบบนี้จริงๆ 
    การกลั่นแกล้ง ใส่ร้าย นินทา และอินเทอร์เน็ตก็มีแต่ทำให้ทุกอย่างแย่ลง ความจริงถูกลบเลือน ข่าวลือกลับชัดเจน เหมือนที่ Hannah เจอมาตลอด 
     ที่น่ากลัวคือ ไม่มีใครกระตือรือร้นที่จะค้นหาความจริงหรือถามความจริงจากเจ้าตัวเลยค่ะ แม้แต่ Hannah เองก็เหนื่อยที่จะอธิบายหรือเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองแล้ว


ซีรีย์กับหนังสือต่างกันไหม? แล้วแบบไหนสนุกกว่ากัน?

  - เนอร์สยังดูซีรีย์ไม่จบนะคะ เท่าที่ดูก็รู้สึกว่าต่างกันพอประมาณ แต่ Main Idea หรือแก่นเรื่องยังอยู่ครบค่ะ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี คือไม่ทำให้เสียอรรถรสในการชม แนะนำให้ทั้งอ่านทั้งดูเลยค่ะ ใครยังไม่มีเงินซื้อหนังสือ ก็หาซีรีย์ดูไปก่อนได้ค่ะ555555


     การเล่าเรื่องทำได้ดีนะคะ เป็นการเล่าเรื่องผ่านมุมมองของ Clay Jensen ตัวเอกของเรื่อง ทำให้เราได้อ่านความรู้สึกของเขาที่มีต่อเหตุการณ์ต่างๆ ด้วย สำหรับเนอร์ส Clay เป็นคนดี เป็นคนประเภทเดียวกับนักเรียนธรรมดาหลายๆ คน คือไม่ใช่คนเลวร้าย แต่ก็ไม่ได้ดีเลิศถึงขนาดมีความกล้าที่จะพูดหรือหยุด เมื่อพบว่าเรื่องร้ายๆ กำลังเกิดขึ้นกับคนๆ หนึ่ง


     หนังสือเล่มนี้ให้อะไรกับเนอร์สเยอะมากเลยค่ะ เนอร์สชอบประโยคที่ว่า Everything affects everything  คือทุกๆ อย่างที่เราทำ มันส่งผลกระทบต่อทุกๆ อย่างเลย เวลาที่เราพูดหรือทำอะไรไม่ดีกับคนอื่น แม้มันจะเล็กน้อยหรือเรามองว่าแค่ล้อเล่น แต่เขาอาจจะเก็บไปนอนคิดทั้งวันทั้งคืนเลยก็ได้ เราไม่มีวันรู้ว่าสิ่งที่เราทำจะนำไปสู่อะไร


     ฝากหนังสือเล่มนี้ไว้ในอ้อมใจของทุกคนด้วยนะคะ


Please be kind to everyone around you. 
If you can't? Then be quiet.

อาจฟังดูแรง แต่เป็นความจริงค่ะ บางคำพูดถ้าพูดไปแล้วทำร้ายคนอื่น ก็ควรเก็บไว้จะดีกว่า




My Favourite Moment: Casette 5 Side A, Page 208-209


Hannah:     I couldn't believe it. Out of the blue, there you were.

Clay:          It was anything but out of the blue.
         'I don't know why but I think we need to talk'

Hannah:    And I agreed, with probably the dumbest smile plastered on my face.

Clay:         No. 
                The most Beautiful.



คะแนนความยากของภาษาที่ใช้: 3/10

Reason:
          ภาษาไม่ยากเลยยยย คุณผู้อ่านไม่ต้องกังวลเลยค่ะ เล่มนี้ผู้ที่อยู่ระดับ Intermediate ขึ้นไปอ่านได้ฉลุยค่ะ ส่วน Beginner ก็น่าจะอ่านได้นะคะ อาจจะติดแสลงหรือสำนวนบ้าง แต่เสิร์ชหารับรองเจอแน่นอน หรือถ้าไม่เจอมาคอมเม้นถามเนอร์สได้เลยค่ะ555

         คุณ Dashner ว่าใช้ศัพท์ง่ายแล้ว คุณ Asher ง่ายกว่าค่ะ หน้านึงเนอร์สมีคำที่ไม่รู้ประมาณ 2-3 คำเอง น้อยมากจนหน้าตกใจเนอะ555 บางหน้าคือไม่มีคำที่ไม่รู้เลยค่ะ 


ตัวอย่างประกอบการตัดสินใจ+ชอบหน้านี้เลยแนบมาให้ชมค่ะ





เวลาที่ใช้ในการอ่าน: 15 เมษายน - 19 เมษายน 2561 / 5 วันค่าาา Amazing Thailand!!! 555555+ เพราะหนังสือสนุก ศัพท์ไม่ยาก และมีไม่ถึง 300 หน้าค่ะ




             ความจริงเนอร์สยังตั้งใจทำเป็นบันทึกไว้อ่านเองเหมือนเดิม แต่ถ้าใครหลงเข้ามาอ่านจนจบ ก็ขอบคุณมากๆ ค่ะ เจอกันเมื่อเนอร์สอ่านเล่มต่อไปจบเนอะ❤


วันเสาร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2561

English Book Review2: The Death Cure (The Maze Runner3)

English Book Review2: The Death Cure (The Maze Runner3)


รีวิวหนังสือ: ไข้มรณะ (วงกตมฤตยู 3)



     ในที่สุดเนอร์สก็มีได้มารีวิวหนังสือภาษาอังกฤษที่อ่านจบเป็นเล่มที่ 2 แล้วค่าาา นึกว่า The Scorch Trials จะเป็น One and only ซะแล้ว555 


     มาค่ะ! ไปดูข้อมูลเบื้องต้นของหนังสือเล่มนี้กันเลย

Title:           The Death Cure
ชื่อไทย:        ไข้มรณะ
Author:       James Dashner
Category:    Science Fiction
Pages:         325
Price:          $10.99 / ฿350.-
Store:          บูธ Asia books @งานหนังสือ ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์



(เนอร์สเลือกซื้อปกแบบนี้มาค่ะ Dylan หล่อออ กลางเล่มมีภาพจากหนังให้นิดหน่อยด้วย ส่วนท้ายเล่มมีตัวอย่าง The Kill Order และ The Fever Code ให้อ่านอย่างละ 2 บท พร้อมกับ The Eye of Minds อีกบทนึงค่ะ)




Rate / คะแนนเนื้อหา : 9 / 10
Reason : *ส่วนที่เป็นสีแดงมีสปอยล์นะจ๊ะ*

     คะแนนสูงเหมือนเดิมเลยยย แต่ที่ให้เยอะก็เพราะว่าหนังสือเขาดีจริงๆ ค่ะ อาจจะเป็นเพราะว่าเนอร์สเป็นคนชอบอ่านหนังสือแนวนี้อยู่แล้ว เลยรู้สึกตื่นเต้นตามทั้งเล่มเลยค่ะ

    เจมส์ แดชเนอร์เป็นนักเขียนที่มีความสามารถค่ะ บรรยายการทำงานของวิคเค็ด การทดลอง การหายารักษา ลักษณะไข้วาบ ที่เป็นเรื่องซับซ้อนให้เราเข้าใจได้ง่ายมากๆ อ่านเป็นภาษาอังกฤษยังไม่มีปัญหาเลย การบรรยายฉากต่อสู้ หลบหนี ก็เห็นภาพตามหมด ชื่นชมค่ะ

    พาร์ทอารมณ์คุณแดชเนอร์ก็ยังทำได้ดีเหมือนเคย และอาจจะมากกว่าเดิมด้วย แต่ แต่ แต่! สำหรับเนอร์สรู้สึกว่ามันยังไม่สุดค่ะ ในเล่มสุดท้ายของซีรีย์นี้มีฉากดราม่าค่อนข้างเยอะ ที่หนักๆ เนอร์สยกให้ 3 ฉากนี้ค่ะ

  1. เพื่อนๆ ไปตามนิวท์กลับจาก Crank Palace 
  2. ตอนนิวท์ตาย
  3. ตอนเทเรซ่าตาย
    3 ฉากนี้ที่เนอร์สชอบที่สุด คงเป็นตอนเพื่อนๆไปตามนิวท์ให้กลับไปด้วยกันค่ะ รู้สึกว่าทำออกมาสมบูรณ์แล้ว ส่วนตอนที่นิวท์กับเทเรซ่าตาย เนอร์สยอมรับว่าคาดหวังไว้มาก เพราะเป็นคนที่ดูหนังก่อน แล้วค่อยมาอ่านหนังสือ ในหนังทำให้เนอร์สร้องไห้ตามได้เลย ไม่ได้ฟูมฟายมากมาย แค่ซึ้งๆ เศร้าๆ แล้วอยู่ดีๆ แก้มก็เปียกค่ะ555555


     ส่วนฟีลลิ่งที่ได้จากหนังสือ จะเป็นความรู้สึกเศร้าๆ เหมือนเขาค่อยๆบิวท์มาละ เราก็เศร้าตามนะ แต่อยู่ดีๆก็จบ แล้วตัดไปฉากอื่นเสียเฉยๆ เนอร์สตะโกน(ในใจ)ดังมากว่า เดี๊ยวววว คุณเจมส์ หนูเปลี่ยนอารมณ์ไม่ทั้น - - 
     ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราหักคะแนนส่วนนี้ไป 0.5 คะแนนค่ะ อีก 0.5 จะเป็นเรื่องความไม่สมเหตุสมผลนิ๊ดดดหน่อยเหมือนเดิมค่ะ 

     อีกเรื่องที่อยากงอแงคือ การวางบทตัวละครเทเรซ่าค่ะ คาแรคเตอร์เทเรซ่าในหนังกับหนังสือต่างกันพอสมควรเลย ในหนังสือดูเป็นคนดีและน่าสงสารมากกว่า ดูรักโทมัสมากๆด้วย ทำเพื่อเขาตลอด แม้แต่ชีวิตก็ให้ได้ //ปิดหน้าร้องไห้ T T


ถ้าถามว่าหนังสือต่างจากหนังมั้ย? 

      ขอตอบว่าต่างมากค่ะ การตายของนิวท์กับเทเรซ่ายังต่างเลย ด้วยความที่ภาคสองก็ต่างจากหนังสือมากอยู่แล้ว ภาคสุดท้ายนี้ก็คงต้อง Follow ภาคที่แล้วไปตามปริยาย 


หนังกับหนังสืออันไหนสนุกกว่ากัน?

      ตอบลำบากมากค่ะ ขอเชิญทุกคนร่วมค้นหาคำตอบด้วยตนเองโดยการทั้งดูหนังและซื้อหนังสือ55555 ในภาคที่แล้ว เนอร์สเลือกว่าหนังสือสนุกกว่าเนอะ แต่มาภาคนี้ลำบากใจค่ะ เพราะมีบางอย่างที่ชอบในหนังแต่ไม่ชอบในหนังสือ ชอบในหนังสือ แต่ไม่มีในหนัง อย่างฉากจบ ส่วนตัวเนอร์สก็ชอบในหนังมากกว่า เพราะรู้สึกว่าในหนังสือตัดจบห้วนไปหน่อย ขออนุญาตตอบว่าชอบเท่ากันนะคะ


     อย่างไรก็ตาม เนอร์สก็แนะนำให้ทุกคนลองซื้อหามาอ่านกันนะคะ เนอร์สอาจมีฉากที่ไม่ปลื้มบ้าง แต่ไม่เคยมีสักวินาทีที่อ่านแล้วรู้สึกผิดหวังที่ซื้อมาเลยค่ะ ใครชอบหนังเรื่องนี้ ชอบนิยายแนวนี้ หรืออยากฝึกภาษาอังฤษ อย่ามัวแต่รีรอ ไปสอยด่วนเลยจ้าาา



My Favourite Moment: Chapter 38, Page 184

        'I'm not well' Newt said. 
        'Honestly, I appreciate you buggin' shanks coming for me. I mean it. But this is where it bloody ends. This is when you turn around and walk back out that door and head for your Berg and fly away.
        ...Do you understand?'
      
        'No, Newt, I don't understand.' Minho said. 
        'We risked our necks to come to this place and you're our friend and we're taking you home. You wanna whine and cry while you go crazy, that's fine. But you're gonna do it with us, not with these shuck Cranks.'

         (ประทับใจแรงมากกก รู้เลยว่ามิตรภาพระหว่างพวกเขายิ่งใหญ่แค่ไหน อยากให้ทุกคนได้ลองอ่านเต็มๆ นะคะ)



คะแนนความยากของภาษาที่ใช้: 4/10

Reason:
      เนอร์สให้เท่าเล่ม 2 เลยค่ะ ด้วยความที่เป็นนักเขียนคนเดิม ระดับภาษาเลยมีความยากเท่าเดิม(มั้ง) คุณแดชเนอร์ไม่ใช่คนชอบบรรยายด้วยภาษายาก แปลกตา อลังการเว่อร์วังค่ะ ซึ่งเนอร์สชอบข้อนี้มากๆ555 แต่สิ่งที่เล่มนี้ต่างจากเล่มก่อนน่าจะเป็น slang กับ Idioms ที่เจอได้เยอะกว่าเดิมค่ะ ซึ่งเนอร์สได้รวบรวมบางส่วนไว้ให้ในตอนท้าย เผื่อจะเป็นประโยชน์ให้หลายคนได้นำไปใช้นะคะ

    เรื่องของคำศัพท์ที่ใช้ เนอร์สไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่าอยู่ระดับไหนดี น่าจะอยู่ระดับกลางค่ะ ผู้ที่ภาษาอังกฤษอยู่ในระดับ Intermediate ขึ้นไปน่าจะอ่านเข้าใจ หน้านึงมีศัพท์ที่เนอร์สไม่รู้ประมาณ 4-5 คำ ส่วนใหญ่จะเป็น Adjective หรือ Adverb แปลกๆ ค่ะ เช่น disoriented, deteriorate, bulge, weaselly, spiffy, vivid, peachy, inexplicable, gingerly, cranny ประมาณนี้ค่ะ



สำนวนน่าสนใจต่างๆ
  1. Somehow, some way            =     ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง คล้าย One way or another ค่ะ
  2. Rise and shine                     =     ตื่นได้แล้ว
  3. It was the final straw           =     นั่นเป็นฟางเส้นสุดท้าย
  4. It was now or never             =     ถ้าไม่ทำตอนนี้ก็ไม่มีโอกาสแล้ว
  5. Drink to that                       =     เห็นด้วยมากๆ 
  6.  That's that                         =     จบนะ (ใช้พูดปิดท้ายประโยคค่ะ เวลาอยากจบการสนทนา)
  7. One's nerves are shot          =     หมดความอดทน/ ฟิวส์ขาด
  8. Let bygones be bygones      =     อะไรที่มันผ่านมาแล้ว ก็ให้แล้วกันไป
  9. The sooner, the better       =     ยิ่งเร็วยิ่งดี
  10. It all rests on your shoulder =     ทั้งหมดขึ้นอยู่กับคุณ
  11. Got a lot of nerve              =     กล้าบ้าบิ่นมาก
  12. Rub it in                            =     ทำให้ขายหน้า, เอาไปป่าวประกาศ
    
เวลาที่ใช้ในการอ่าน: 4 เมษายน - 14 เมษายน 2561 / 10 วันพอดีเป๊ะ! ดีใจม้าก เล่มแรกใช้เวลาเดือนนึงค่ะ555




     ผู้ใดที่หลงเข้ามาอ่านรีวิวนี้ เนอร์สก็ต้องขอขอบคุณมากๆนะคะ ใครอยากสอบถามอะไร หรืออ่านแล้วอยากจะมาหวีดด้วยกัน คอมเม้นด้านล่างได้เลยยย พร้อมพูดคุยเสมอค่ะ💕


วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2561

English Book Review1: The Scorch Trials (The Maze Runner2)

English Book Review: The Scorch Trials (The Maze Runner2)

รีวิวหนังสือ: สมรภูมิมอดไหม้ (วงกตมฤตยู 2)




     สวัสดีค่าาา วันนี้เนอร์สจะมารีวิวหนังสือ The Scorch Trials หรือ The Maze Runner ภาค 2 ของคุณ James Dashner นะคะ เนอร์สซื้อแบบภาษาอังกฤษมาอ่าน ไม่เคยอ่านฉบับภาษาไทยมาก่อนเลย นี่เป็นนิยายภาษาอังกฤษเล่มแรกที่เนอร์สอ่านจบค่ะ ที่อ่านจบไปเยอะๆ คือเรื่องสั้นทั้งนั้น 555


ข้อมูลเบื้องต้นตามด้านล่างเลยค่ะ



Title:           The Scorch Trials
ชื่อไทย:        สมรภูมิมอดไหม้
Author:       James Dashner
Category:    Science Fiction
Pages:          361
Price:           $10.99 / ฿350.-
Store:          Asia books @B2S Central Pinklao




(ท้ายเล่มแถม The Death Cure กับ The Eye of Minds ให้อ่านอย่างละบทด้วยค่ะ หว่านล้อมสุดดด)




Rate / คะแนนเนื้อหา: 9.5/10

Reason: *ส่วนที่เป็นสีแดง คือรีวิวที่มีสปอยล์นะคะ*


    ขอออกตัวก่อนเลยว่าเนอร์สไม่ได้เป็นคนซีเรียสเรื่องการให้คะแนนหนังสือมาก ไม่ได้วิเคราะห์อะไรมากมาย คือถ้าชอบ ถ้าสนุก ก็ให้คะแนนสูงๆไปเลย แล้วค่อยมาหักสิ่งที่เราคิดว่าเป็นข้อเสียทีหลัง สำหรับหนังสือเล่มนี้ เนอร์สไม่ผิดหวังเลยค่ะที่ซื้อมาอ่าน

     เนอร์สรู้สึกว่าคุณแดชเนอร์เป็นนักเขียนที่มีความสามารถมาก สามารถบรรยายเหตุการณ์ สถานการณ์ ลักษณะหรือความรู้สึกของตัวละครออกมาได้อย่างชัดเจน แถมยังเก่งเรื่องการบีบหัวใจและกดดันคนอ่านอีกด้วย เขียนฉากต่อสู้ ฉากผจญภัยก็ดี ฉากอารมณ์ก็ดี ถึงจะเป็นภาษาอังกฤษ แต่อ่านแล้วรู้สึกอยากอ่านต่อเรื่อยๆเลยค่ะ แทบวางไม่ลงเลย

    อีกสิ่งที่ชอบก็คือ การจัดจำนวนหน้าต่อหนึ่งบทของคุณแดชเนอร์ค่ะ บทนึงมีประมาณ 4-6 หน้า ทำให้เรารู้สึกว่าแต่ละบทผ่านไปไว แล้วก็มีกำลังใจะอ่านต่อเรื่อยๆ พอเบื่อก็พักได้เป็นช่วงๆ


   คะแนนที่หักไป 0.5 เป็นเรื่องความไม่สมเหตุสมผลนิดหน่อยค่ะ เนื่องจากวิคเค็ดชอบย้ำเสมอเลยว่าโทมัสและเพื่อนๆ ทุกคนสำคัญ แต่จากการกระทำที่ผ่านมา ทุกการทดลองที่ให้เข้าร่วม มันหนักหนาสาหัส มันโหดร้ายจริงๆ แถมยังฆ่าคนเหมือนผักปลา เนี่ยเหรอที่บอกว่าสำคัญ? เลยขอหักคะแนนซะเลยยย


    ส่วนตัวเนื้อเรื่อง ในหนังสือต่างจากภาพยนตร์ค่อนข้างเยอะนะคะ ถ้าถามว่าอันไหนสนุกกว่า เนอร์สคงต้องตอบว่าแล้วแต่คนชอบค่ะ บางคนบอกว่าแบบหนังไม่สนุกเลย แต่เนอร์สก็ว่าสนุกดีค่ะ (เนอร์สดูหนังก่อน แล้วค่อยมาตามอ่านหนังสือทุกภาคเลยค่ะ) แต่ถ้าให้เลือกจริงๆ เนอร์สก็ขอเลือกหนังสือ เพราะรู้สึกว่ามีความสมเหตุสมผลมากกว่า หลายๆฉากก็ตื่นตาตื่นใจกว่าด้วย



     ซีนที่เนอร์สชอบที่สุด คือตอนเทเรซ่ากับอริสจำเป็นต้องหักหลังโทมัส โดยการล่อให้เข้าไปในถ้ำ พูดจาทำร้ายจิตใจ โยนเข้าห้องรมแก๊ส พอโทมัสสู้ก็ฟาดหัวซะเลย ตอนที่อ่านเนอร์สสงสารโทมัสมาก เจ็บทั้งกายเจ็บทั้งใจ แต่เทเรซ่าก็มีเหตุผลของเธอนะ มันบีบหัวใจจริงๆ เหตุการณ์นั้นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เนอร์สเสียดายความสัมพันธ์ของสองคนนี้มากกกก เขารักกันมาแต่เด็กก็อยากให้เขาคู่กันอ่ะเนอะ ฮือ T^T




My Favourite Moment: Chapter 55, Page 313


       Teresa didn't hesitate. She wrapped her arms around Thomas's neck, pulling him in. He didn't have enough will to resist.

       They kissed but nothing stirred inside Thomas.

       He felt nothing.


    (เป็นฉากบรรยายอาการของคนหมดใจโดยแท้ T T)




คะแนนความยากของภาษาที่ใช้: 4/10

Reason:

     ไม่ใช่ว่าให้ 4 แล้วไม่ดีนะคะ แต่เนอร์สให้แค่ 4 เพราะรู้สึกว่าระดับภาษาไม่ได้ยากเลย Rate ของเนอร์สคือถ้าอยู่ในระดับที่อ่านรู้เรื่องคะแนนความยากจะไม่เกินครึ่ง คือไม่เกิน 5 ค่ะ
   
      คุณแดชเนอร์เลือกใช้ศัพท์ดีแล้ว คำศัพท์ไม่ยากมาก หน้านึงมีคำที่ไม่รู้ไม่เกิน 10 คำ ส่วนใหญ่แค่ประมาณ 4-5 คำค่ะ มีแสลงหรือ Idioms บ้าง แต่เสิร์ชกูเกิ้ลก็เจอ คำที่เนอร์สไม่ค่อยรู้ส่วนใหญ่จะเป็น Phasal Verb ที่มารวมกันแล้วมีความหายใหม่ หรือ Verb กับ Adjective หน้าตาแปลกๆ ค่ะ เช่น rattle, squeal, retort, yelp, nudge, hideous, disoriented, perplexed, exasperated ประมาณนี้ค่ะ


เวลาที่ใช้ในการอ่าน: 2 มีนาคม - 2 เมษายน 2561 / 1 เดือน





    โดยรวมเนอร์สก็แนะนำให้คนที่อยากฝึกภาษาอังกฤษลองซื้อมาอ่านนะคะ ระดับ Intermediate ขึ้นไปน่าจะอ่านไหวค่ะ ความจริงอยากทำเป็นบันทึกไว้อ่านเอง แต่ใครที่กดเข้ามาอ่านก็ขอบคุณมากนะคะ❤