English Book Review9: When Breath Becomes Air
รีวิวหนังสือ: เมื่อลมหายใจกลายเป็นอากาศ
สวัสดีค่าาา การรีวิวหนังสือภาษาอังกฤษของเนอร์สเดินทางมาถึงเล่มที่ 9 แล้วนะ เร็วมากๆ เลยยย เล่มนี้เป็นเล่มที่เนอร์สใช้พลังใจในการอ่านค่อนข้างมาก เพราะคำศัพท์ยากและเนื้อหาเองก็หนักหน่วง แต่พออ่านจบแล้วไม่รู้สึกผิดหวังเลยค่ะ ไปดูข้อมูลเบื้องต้นของเล่มนี้กันก่อนเล้ยยย
Title: When Breath Becomes Air
ชื่อไทย: เมื่อลมหายใจกลายเป็นอากาศ
Author: Paul Kalanithi
Category: Non-fiction/ Autobiography
Pages: 228
Price: ฿325.-
Store: ร้าน Asia Books @The Mall Bang Kae
Rate / คะแนนเนื้อหา : 9 / 10
Reason:
หนังสือเล่มนี้ต่างจากเล่มอื่นๆ ที่เนอร์สเคยอ่านมาตลอด ตรงที่เล่มนี้เป็นเรื่องจริงค่ะ เป็นหนังสืออัตชีวประวัติ บอกเล่าเรื่องราวของศัลแพทย์ฝีมือดีท่านหนึ่งที่พบว่าตนเองเป็นมะเร็งปอดในวัยเพียงแค่ 35 ปี เขาจะมาถ่ายทอดความรู้สึก การตัดสินใจ รวมถึงวิธีการรับมืออันกล้าหาญของตัวเขาเองและบุคคลรอบข้างให้พวกเราได้อ่านกันค่ะ
เป็นหนังสืออีกเล่มที่เนอร์สรู้สึกดีใจมากๆ ที่ได้อ่าน กว่าจะอ่านจบได้น้ำตาก็ไหลไปหลายลิตรเลยค่ะ
เปิดเล่มมาด้วย Foreword ที่เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อค่ะ เขามีโอกาสได้รู้จักกับคุณ Paul (ผู้เขียน) ไม่นานก่อนคุณ Paul จะเสียชีวิต ตามด้วยบทนำที่เขียนโดยตัวคุณ Paul เอง เนอร์สประทับใจตั้งแต่บทนำเลยค่ะ ภาษา การบรรยาย ทุกอย่างมันดีไปหมด เปิดมาได้น่าสนใจ ชวนติดตามมาก
Part 1 คุณ Paul ย้อนกลับไปเล่าเรื่องตั้งแต่สมัยที่ตัวเองยังเป็นนักเรียนมัธยมปลายเลยค่ะ ทำให้เราได้เห็นช่วงชีวิตปกติธรรมดาของเขา ช่วงเวลาก่อนที่จะเป็นศัลยแพทย์มากฝีมือ ก่อนที่จะต้องแบกชีวิตของผู้คนเอาไว้บนไหล่ ทำให้เนอร์สได้เห็นการแปรผันในชีวิตของเขา เด็กธรรมดาที่รอบตัวรายล้อมไปด้วยผู้คนในวิชาชีพแพทย์ ทั้งพ่อ ลุง และพี่ชาย ทำให้ในใจของเขาไม่มีความคิดที่จะเดินรอยตามเลย
เมื่อขึ้นมหาวิทยาลัย คุณ Paul ก็เลือกเรียนวรรณกรรมค่ะ เขาสนใจในงานเขียนและปรัชญา โดยเฉพาะเรื่องความเป็น ความตาย และความหมายของชีวิต นั่นส่งผลให้เขาเลือกเรียน Neuroscienece (ประสาทวิทยาศาสตร์) ต่อ เขาหลงรักศาสตร์นี้เต็มๆ และตัดสินใจเรียนแพทย์ต่อในที่สุด
ช่วงที่คุณ Paul บอกเล่าชีวิตการเป็นนักศึกษาแพทย์คือช่วงที่สนุกมากๆ เลยค่ะสำหรับเนอร์ส เหมือนกำลังดูซีรีย์เรื่อง The Good Doctor อยู่เลย เนอร์สชอบที่เขานำเคสคนไข้ที่น่าสนใจหลายๆ เคสมาเล่าให้ฟัง แถมยังอธิบายอาการ การวินิจัย การผ่าตัด การรักษา ได้เข้าใจง่ายมากๆ แต่คุณ Paul ก็ยังรักษาจรรยาบรรณของวิชาชีพแพทย์นะคะ ชื่อคนไข้ เพื่อนร่วมงานหรือพยาบาลทุกคนจะเป็นนามสมมุติหมดเลยค่ะ เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนตัวของทุกคน
ชีวิตการเป็นหมอของคุณ Paul ถูกสะท้อนออกมาผ่านตัวอักษรทั้งหมด ทั้งความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยคนไข้ไว้ได้ ความอ่อนล้าหลังยืนผ่าตัดติดกัน 6 ชั่วโมง ไปจนถึงความยินดีเมื่อสามารถยื้อชีวิตของคนไข้เอาไว้ได้ รักษาตั้งแต่อาการโคม่าจนกลับไปดำเนินชีวิตได้เหมือนคนปกติ
Part 2 เป็นช่วงที่คุณ Paul เล่าเรื่องหลังรู้ตัวว่าตัวเองป่วยด้วยโรคมะเร็งค่ะ ทุกคนคะ เนอร์สร้องไห้เหมือนเป็นญาติเขาเองเลย ไม่รู้ว่าเขาเขียนได้อย่างไรเหมือนกัน นึกภาพตามที่เขาเล่าแล้วก็เศร้าค่ะ
แพทย์ฝีมือดีคนนึงที่กำลังจะได้แตะจุดสูงสุดของชีวิต แทบจะมีทุกสิ่งที่ต้องการในวัยเพียง 35 ปี ต้องมาพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งปอดขั้นที่ 4 เวลาที่เคยเดินไปข้างหน้า อยู่ๆ ก็นับถอยหลัง คนที่เคยสวมเสื้อกาวน์รักษาคนอื่นมาตลอด ตอนนี้ต้องเปลี่ยนไปสวมชุดคนไข้และปล่อยให้คนอื่นรักษาตัวเองแทน
แต่มันก็เป็นความเจ็บปวดที่งดงามนะคะ ถึงแม้จะเศร้า หดหู่ หมดกำลังใจหลังรู้คำวินิจฉัยของตนเอง แต่คุณ Paul ก็สามารถก้าวต่อไปได้ด้วยกำลังใจจากคนรอบตัว ทั้งภรรยา พ่อแม่ พี่น้อง ญาติๆ ทุกคน เพื่อนสมัยเรียน เพื่อนที่ทำงาน รวมถึงตัวแพทย์ที่รักษาคุณ Paul เองด้วย
คุณ Paul จะชอบถามแพทย์ประจำตัวเสมอว่าผมอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ แต่เธอไม่เคยตอบเขาเลยค่ะ คำตอบเดียวของเธอคือ 'คุณยังอยู่ได้อีกนาน จะถามทำไม'
สุดท้าย ตอนอาการเขาทรุดมากๆ เขาถามคำถามเดิมกับเธออีกครั้ง เธอโกหกเขาว่า 'คุณอยู่ได้อีก 5 ปี' ทั้งที่ความจริงอาจไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ คงเป็นการใช้จิตวิทยาเข้าช่วยด้วยค่ะ บางทีถ้าคนไข้เชื่ออย่างนั้นจริงๆ เขาก็อาจจะอยู่ได้นานกว่าที่ตัวเองคิดไว้ T^T
อีกสิ่งที่ชอบคือ ตอนที่คุณ Paul และ Lucy (ภรรยา) ตัดสินใจจะมีลูกค่ะ ทั้งคู่ตัดสินใจหลังทราบว่าคุณ Paul ป่วยแล้วด้วยนะคะ เป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญมากกกก ทีแรกคุณ Paul ลังเล เพราะกลัวว่าหลังตัวเองจากไป ภรรยาจะเหนื่อย ต้องเลี้ยงลูกคนเดียว แต่คุณ Lucy ก็ยังยืนยันว่าต้องการมีลูกค่ะ เพราะลูกเป็นสิ่งที่ทั้งคู่ต้องการให้มาเติมเต็มชีวิตครอบครัวโดยตลอด และเธออยากให้ลูกเป็นตัวแทนของเขา หลังเขาจากไปค่ะ
ช่วงท้ายตอนใกล้จบ เนอร์สร้องไห้แทบทุกหน้าเลยค่ะ สงสารเขา ตอนอาการทรุดคือน่ากลัวมากเลย เนื้อร้ายปฏิเสธยาทุกอย่าง การรักษาทุกประเภท อาหารโปรดที่เคยกินจนหมดกลับแตะแทบไม่ได้ ทานอะไรไปก็อาเจียนออกหมดจนร่างกายขาดน้ำ ไตวาย ระบบหายใจล้มเหลว ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูงจนเข้าขั้นวิกฤติต้องเข้าห้องไอซียู ฮือออ แค่กลับมาพิมพ์ก็จะร้องไห้อีกแล้วค่ะ 😭
และเนื่องจากเล่มนี้เป็นอัตชีวประวัติ คุณ Paul เขียนเองทั้งหมด แต่หลังเขาเสียชีวิตแล้ว ใครกันที่จะเป็นผู้สานต่อหนังสือเล่มนี้จนจบ?
คำตอบคือ ภรรยาของเขาเองค่ะ คุณ Lucy เป็นผู้เขียนบทส่งท้ายของหนังสือเล่มนี้ และเขียนได้ดีมากด้วยค่ะ เนอร์สเสียน้ำตาอีกแล้ว ตลอดเวลาที่อ่านหนังสือเล่มนี้ เนอร์สได้อ่านในมุมของคุณ Paul อย่างเดียว เห็นว่าคุณ Lucy อยู่เคียงข้างเขามาตลอด เนอร์สชื่นชมเธอที่มีสติ เก่ง และเข้มแข็งมาก แต่เมื่อได้อ่านพาร์ทสุดท้ายที่เธอเขียนเอง ทำให้เนอร์สได้รู้ว่าเธอเองก็มีมุมอ่อนแอ หลบไปร้องไห้ไม่รู้กี่ครั้ง แต่คนมันรักไปแล้วอ่ะเนอะ ยิ่งเวลาเหลือน้อย ก็ยิ่งต้องใช้ให้คุ้มค่ามากที่สุด
คะแนนที่หักไปนิดเดียว คงเป็นเรื่องของคำศัพท์ที่ยากเกินความเข้าใจของคนทั่วไป บางช่วงเนอร์สคิดว่าการบรรยายอาจยิ่งใหญ่เกินไปสักหน่อย โครงสร้างประโยคซับซ้อน เข้าใจยาก บางทีอ่านจบพารากราฟแล้วต้องหยุดเพื่อตีความนิดนึงด้วยค่ะ 😂
และช่วงแรกดำเนินเรื่องค่อนข้างช้า อ่านแล้วมีรู้สึกเบื่อบ้าง ถ้าไม่อดทนคงหยุดอ่านตั้งแต่ช่วงต้นๆ เลยค่ะ แต่พอผ่านช่วงนั้นไปก็สนุกขึ้นเรื่อยๆ จนวางแทบไม่ลงเลยยย
My Favourite Moment: Part II Cease Not Till Death, Page 196
Time for me is now double-edged. Death. Perhaps later than I think, but certainly sooner than I desire.
Part of the cruelty of cancer, though, is not only that it limits your time; it also limits your energy.
Our daughter, Cady. I hope I'll live long enough that she has some memory of me.
คะแนนความยากของภาษาที่ใช้: 7/10
Reason:
ถ้าทุกคนเคยอ่านรีวิวของเนอร์สมาหลายเล่ม จะเห็นเลยว่าเล่มนี้คะแนนความยากของภาษาสูงที่สุดเลยยย คำศัพท์ยากจริงๆ ค่ะ ศัพท์ทางการแพทย์เยอะมากกก รวมถึงศัพท์เฉพาะทางต่างๆ ด้วย ถ้าตัดคำเหล่านั้นออกไปก็ยังมีศัพท์อีกหลายคำที่แทบไม่เคยเห็น ไม่คุ้นตาเลย เพราะการเขียนของคุณ Paul จะค่อนข้างเน้นการบรรยายที่ประดิษฐ์คำสวยงาม เลยต้องสรรคำที่ไม่ธรรมดามาใช้
เนอร์สคิดว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะเหมาะกับระดับ Upper-Intermediate หรือ Advanced ขึ้นไปค่ะ ถ้าภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงมาก อาจจะอ่านลำบากสักหน่อย เพราะนอกจากคำศัพท์ที่ยากแล้ว โครงสร้างประโยคยังซับซ้อน ต้องตีความเพิ่มอีกด้วยค่ะ
ตัวอย่างคำศัพท์ยากนะคะ เช่น haggard, acolyte, ephemera, apostasy, cacophony, ambidextrous, egregious, asunder, cadaver ประมาณนี้ค่ะ
แม้จะมีอุปสรรคในเรื่องของภาษาบ้าง แต่เนอร์สก็ยังอยากแนะนำให้ทุกคนลองอ่านเล่มนี้กันนะคะ เป็นหนังสือที่สอนอะไรเนอร์สเยอะมาก ทั้งเรื่องวิชาการ การเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิต ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ แล้วเจอกันในบล็อกต่อไปเมื่อเนอร์สอ่านเล่มใหม่จบนะคะ ถ้ามีหนังสืออะไรอยากแนะนำให้เนอร์สอ่าน คอมเม้นด้านล่างได้เลยนะคะ สวัสดีค่า 💗
Rate / คะแนนเนื้อหา : 9 / 10
Reason:
หนังสือเล่มนี้ต่างจากเล่มอื่นๆ ที่เนอร์สเคยอ่านมาตลอด ตรงที่เล่มนี้เป็นเรื่องจริงค่ะ เป็นหนังสืออัตชีวประวัติ บอกเล่าเรื่องราวของศัลแพทย์ฝีมือดีท่านหนึ่งที่พบว่าตนเองเป็นมะเร็งปอดในวัยเพียงแค่ 35 ปี เขาจะมาถ่ายทอดความรู้สึก การตัดสินใจ รวมถึงวิธีการรับมืออันกล้าหาญของตัวเขาเองและบุคคลรอบข้างให้พวกเราได้อ่านกันค่ะ
เป็นหนังสืออีกเล่มที่เนอร์สรู้สึกดีใจมากๆ ที่ได้อ่าน กว่าจะอ่านจบได้น้ำตาก็ไหลไปหลายลิตรเลยค่ะ
เปิดเล่มมาด้วย Foreword ที่เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อค่ะ เขามีโอกาสได้รู้จักกับคุณ Paul (ผู้เขียน) ไม่นานก่อนคุณ Paul จะเสียชีวิต ตามด้วยบทนำที่เขียนโดยตัวคุณ Paul เอง เนอร์สประทับใจตั้งแต่บทนำเลยค่ะ ภาษา การบรรยาย ทุกอย่างมันดีไปหมด เปิดมาได้น่าสนใจ ชวนติดตามมาก
Part 1 คุณ Paul ย้อนกลับไปเล่าเรื่องตั้งแต่สมัยที่ตัวเองยังเป็นนักเรียนมัธยมปลายเลยค่ะ ทำให้เราได้เห็นช่วงชีวิตปกติธรรมดาของเขา ช่วงเวลาก่อนที่จะเป็นศัลยแพทย์มากฝีมือ ก่อนที่จะต้องแบกชีวิตของผู้คนเอาไว้บนไหล่ ทำให้เนอร์สได้เห็นการแปรผันในชีวิตของเขา เด็กธรรมดาที่รอบตัวรายล้อมไปด้วยผู้คนในวิชาชีพแพทย์ ทั้งพ่อ ลุง และพี่ชาย ทำให้ในใจของเขาไม่มีความคิดที่จะเดินรอยตามเลย
เมื่อขึ้นมหาวิทยาลัย คุณ Paul ก็เลือกเรียนวรรณกรรมค่ะ เขาสนใจในงานเขียนและปรัชญา โดยเฉพาะเรื่องความเป็น ความตาย และความหมายของชีวิต นั่นส่งผลให้เขาเลือกเรียน Neuroscienece (ประสาทวิทยาศาสตร์) ต่อ เขาหลงรักศาสตร์นี้เต็มๆ และตัดสินใจเรียนแพทย์ต่อในที่สุด
ช่วงที่คุณ Paul บอกเล่าชีวิตการเป็นนักศึกษาแพทย์คือช่วงที่สนุกมากๆ เลยค่ะสำหรับเนอร์ส เหมือนกำลังดูซีรีย์เรื่อง The Good Doctor อยู่เลย เนอร์สชอบที่เขานำเคสคนไข้ที่น่าสนใจหลายๆ เคสมาเล่าให้ฟัง แถมยังอธิบายอาการ การวินิจัย การผ่าตัด การรักษา ได้เข้าใจง่ายมากๆ แต่คุณ Paul ก็ยังรักษาจรรยาบรรณของวิชาชีพแพทย์นะคะ ชื่อคนไข้ เพื่อนร่วมงานหรือพยาบาลทุกคนจะเป็นนามสมมุติหมดเลยค่ะ เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนตัวของทุกคน
ชีวิตการเป็นหมอของคุณ Paul ถูกสะท้อนออกมาผ่านตัวอักษรทั้งหมด ทั้งความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยคนไข้ไว้ได้ ความอ่อนล้าหลังยืนผ่าตัดติดกัน 6 ชั่วโมง ไปจนถึงความยินดีเมื่อสามารถยื้อชีวิตของคนไข้เอาไว้ได้ รักษาตั้งแต่อาการโคม่าจนกลับไปดำเนินชีวิตได้เหมือนคนปกติ
Part 2 เป็นช่วงที่คุณ Paul เล่าเรื่องหลังรู้ตัวว่าตัวเองป่วยด้วยโรคมะเร็งค่ะ ทุกคนคะ เนอร์สร้องไห้เหมือนเป็นญาติเขาเองเลย ไม่รู้ว่าเขาเขียนได้อย่างไรเหมือนกัน นึกภาพตามที่เขาเล่าแล้วก็เศร้าค่ะ
แพทย์ฝีมือดีคนนึงที่กำลังจะได้แตะจุดสูงสุดของชีวิต แทบจะมีทุกสิ่งที่ต้องการในวัยเพียง 35 ปี ต้องมาพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งปอดขั้นที่ 4 เวลาที่เคยเดินไปข้างหน้า อยู่ๆ ก็นับถอยหลัง คนที่เคยสวมเสื้อกาวน์รักษาคนอื่นมาตลอด ตอนนี้ต้องเปลี่ยนไปสวมชุดคนไข้และปล่อยให้คนอื่นรักษาตัวเองแทน
แต่มันก็เป็นความเจ็บปวดที่งดงามนะคะ ถึงแม้จะเศร้า หดหู่ หมดกำลังใจหลังรู้คำวินิจฉัยของตนเอง แต่คุณ Paul ก็สามารถก้าวต่อไปได้ด้วยกำลังใจจากคนรอบตัว ทั้งภรรยา พ่อแม่ พี่น้อง ญาติๆ ทุกคน เพื่อนสมัยเรียน เพื่อนที่ทำงาน รวมถึงตัวแพทย์ที่รักษาคุณ Paul เองด้วย
คุณ Paul จะชอบถามแพทย์ประจำตัวเสมอว่าผมอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ แต่เธอไม่เคยตอบเขาเลยค่ะ คำตอบเดียวของเธอคือ 'คุณยังอยู่ได้อีกนาน จะถามทำไม'
สุดท้าย ตอนอาการเขาทรุดมากๆ เขาถามคำถามเดิมกับเธออีกครั้ง เธอโกหกเขาว่า 'คุณอยู่ได้อีก 5 ปี' ทั้งที่ความจริงอาจไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ คงเป็นการใช้จิตวิทยาเข้าช่วยด้วยค่ะ บางทีถ้าคนไข้เชื่ออย่างนั้นจริงๆ เขาก็อาจจะอยู่ได้นานกว่าที่ตัวเองคิดไว้ T^T
อีกสิ่งที่ชอบคือ ตอนที่คุณ Paul และ Lucy (ภรรยา) ตัดสินใจจะมีลูกค่ะ ทั้งคู่ตัดสินใจหลังทราบว่าคุณ Paul ป่วยแล้วด้วยนะคะ เป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญมากกกก ทีแรกคุณ Paul ลังเล เพราะกลัวว่าหลังตัวเองจากไป ภรรยาจะเหนื่อย ต้องเลี้ยงลูกคนเดียว แต่คุณ Lucy ก็ยังยืนยันว่าต้องการมีลูกค่ะ เพราะลูกเป็นสิ่งที่ทั้งคู่ต้องการให้มาเติมเต็มชีวิตครอบครัวโดยตลอด และเธออยากให้ลูกเป็นตัวแทนของเขา หลังเขาจากไปค่ะ
ช่วงท้ายตอนใกล้จบ เนอร์สร้องไห้แทบทุกหน้าเลยค่ะ สงสารเขา ตอนอาการทรุดคือน่ากลัวมากเลย เนื้อร้ายปฏิเสธยาทุกอย่าง การรักษาทุกประเภท อาหารโปรดที่เคยกินจนหมดกลับแตะแทบไม่ได้ ทานอะไรไปก็อาเจียนออกหมดจนร่างกายขาดน้ำ ไตวาย ระบบหายใจล้มเหลว ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูงจนเข้าขั้นวิกฤติต้องเข้าห้องไอซียู ฮือออ แค่กลับมาพิมพ์ก็จะร้องไห้อีกแล้วค่ะ 😭
และเนื่องจากเล่มนี้เป็นอัตชีวประวัติ คุณ Paul เขียนเองทั้งหมด แต่หลังเขาเสียชีวิตแล้ว ใครกันที่จะเป็นผู้สานต่อหนังสือเล่มนี้จนจบ?
คำตอบคือ ภรรยาของเขาเองค่ะ คุณ Lucy เป็นผู้เขียนบทส่งท้ายของหนังสือเล่มนี้ และเขียนได้ดีมากด้วยค่ะ เนอร์สเสียน้ำตาอีกแล้ว ตลอดเวลาที่อ่านหนังสือเล่มนี้ เนอร์สได้อ่านในมุมของคุณ Paul อย่างเดียว เห็นว่าคุณ Lucy อยู่เคียงข้างเขามาตลอด เนอร์สชื่นชมเธอที่มีสติ เก่ง และเข้มแข็งมาก แต่เมื่อได้อ่านพาร์ทสุดท้ายที่เธอเขียนเอง ทำให้เนอร์สได้รู้ว่าเธอเองก็มีมุมอ่อนแอ หลบไปร้องไห้ไม่รู้กี่ครั้ง แต่คนมันรักไปแล้วอ่ะเนอะ ยิ่งเวลาเหลือน้อย ก็ยิ่งต้องใช้ให้คุ้มค่ามากที่สุด
คะแนนที่หักไปนิดเดียว คงเป็นเรื่องของคำศัพท์ที่ยากเกินความเข้าใจของคนทั่วไป บางช่วงเนอร์สคิดว่าการบรรยายอาจยิ่งใหญ่เกินไปสักหน่อย โครงสร้างประโยคซับซ้อน เข้าใจยาก บางทีอ่านจบพารากราฟแล้วต้องหยุดเพื่อตีความนิดนึงด้วยค่ะ 😂
และช่วงแรกดำเนินเรื่องค่อนข้างช้า อ่านแล้วมีรู้สึกเบื่อบ้าง ถ้าไม่อดทนคงหยุดอ่านตั้งแต่ช่วงต้นๆ เลยค่ะ แต่พอผ่านช่วงนั้นไปก็สนุกขึ้นเรื่อยๆ จนวางแทบไม่ลงเลยยย
My Favourite Moment: Part II Cease Not Till Death, Page 196
Time for me is now double-edged. Death. Perhaps later than I think, but certainly sooner than I desire.
Part of the cruelty of cancer, though, is not only that it limits your time; it also limits your energy.
Our daughter, Cady. I hope I'll live long enough that she has some memory of me.
คะแนนความยากของภาษาที่ใช้: 7/10
Reason:
ถ้าทุกคนเคยอ่านรีวิวของเนอร์สมาหลายเล่ม จะเห็นเลยว่าเล่มนี้คะแนนความยากของภาษาสูงที่สุดเลยยย คำศัพท์ยากจริงๆ ค่ะ ศัพท์ทางการแพทย์เยอะมากกก รวมถึงศัพท์เฉพาะทางต่างๆ ด้วย ถ้าตัดคำเหล่านั้นออกไปก็ยังมีศัพท์อีกหลายคำที่แทบไม่เคยเห็น ไม่คุ้นตาเลย เพราะการเขียนของคุณ Paul จะค่อนข้างเน้นการบรรยายที่ประดิษฐ์คำสวยงาม เลยต้องสรรคำที่ไม่ธรรมดามาใช้
เนอร์สคิดว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะเหมาะกับระดับ Upper-Intermediate หรือ Advanced ขึ้นไปค่ะ ถ้าภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงมาก อาจจะอ่านลำบากสักหน่อย เพราะนอกจากคำศัพท์ที่ยากแล้ว โครงสร้างประโยคยังซับซ้อน ต้องตีความเพิ่มอีกด้วยค่ะ
ตัวอย่างคำศัพท์ยากนะคะ เช่น haggard, acolyte, ephemera, apostasy, cacophony, ambidextrous, egregious, asunder, cadaver ประมาณนี้ค่ะ
แม้จะมีอุปสรรคในเรื่องของภาษาบ้าง แต่เนอร์สก็ยังอยากแนะนำให้ทุกคนลองอ่านเล่มนี้กันนะคะ เป็นหนังสือที่สอนอะไรเนอร์สเยอะมาก ทั้งเรื่องวิชาการ การเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิต ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ แล้วเจอกันในบล็อกต่อไปเมื่อเนอร์สอ่านเล่มใหม่จบนะคะ ถ้ามีหนังสืออะไรอยากแนะนำให้เนอร์สอ่าน คอมเม้นด้านล่างได้เลยนะคะ สวัสดีค่า 💗
อ่นจบแล้วนะคะ เล่มนี้ก็เป็นอีกเล่มหนึ่งที่เศร้ามากๆ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ดีๆกลับเจอว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็ง ขนาดแค่อ่านรีวิวยังเศร้าเลย😢😰 ขอบคุณที่ยังรีวิวต่อนะคะ ทำต่อไปเรื่อยๆนะคะ🙂
ตอบลบใช่ค่ะ เห็นด้วยกับคุณ Kanyawee นะคะ น่าเศร้าจริงๆค่ะ แต่คนรีวิวก็เก่งนะคะที่สามารถพิมพ์ถ่ายทอดให้รู้สึกเศร้าได้ สุดยอดค่ะ 👍🏻
ลบเขียนได้น่าติดตาม เขียนได้ดีและสามารถสรุปใจความสำคัญได้ เขียนไม่วกไปวนมาด้วยค่ะ สมแล้วที่เป็นมืออาชีพ
ตอบลบ