วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2563

Review การสอบ MU-ELT (18/01/2020)

Review สอบ MU-ELT (รอบวันเสาร์ที่ 18 มกราคม 2563)



   สวัสดีค่าาา เจ้าของบล็อกชื่อเนอร์สนะคะ กำลังศึกษาอยู่ชั้นปี 1  คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ปกติเนอร์สจะชอบรีวิวหนังสือภาษาอังกฤษลงบล็อก แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไปค่ะ ในบล็อกนี้เนอร์สจะมารีวิวการสอบวัดระดับการใช้ภาษาอังกฤษซึ่งจัดโดยมหาวิทยาลัยมหิดล หรือที่เราคุ้นเคยกันดีในชื่อว่าการสอบ 'MU-ELT' ค่ะ



    เนอร์สมีโอกาสสอบ MU-ELT เมื่อวันเสาร์ที่ 18 มกราคม 2563 เวลา 09.30 - 11.30 น. ค่ะ หลังสอบ 10 วัน ตอนนี้คะแนนก็ออกมาให้ชื่นชมเป็นที่เรียบร้อยแล้ววว



เนอร์สได้ 127/150 ค่ะ  ผ่านแล้วววว ไม่ต้องไปสอบอีกแล้ว เย้!







    เนอร์สจะบอกคะแนนในแต่ละพาร์ทของตัวเอง รวมถึงรีวิวแนวข้อสอบและแนะนำแนวทางการเตรียมตัวเท่าที่จำได้นะคะ💗




Listening Part: 63/75


    ส่วนตัวแล้ว เนอร์สคิดว่าพาร์ทฟังมีระดับความยากปานกลางนะ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าทุกคนฝึกมามากแค่ไหนด้วย คำศัพท์ในบทสนทนาไม่ค่อยยากมาก เป็นศัพท์ทั่วไปที่นักเรียน/นักศึกษาน่าจะเคยสัมผัสผ่านหูผ่านตามาบ้าง เช่น ศัพท์เกี่ยวกับการเรียน ส่งงาน นัดหมาย จองร้านอาหาร ถามเส้นทาง เป็นต้น


     Question&Response: เนอร์สว่าส่วนนี้ง่ายสุดในพาร์ทฟังแล้ววว จะมีเสียงเจ้าของภาษามาให้ฟัง 2-3 ประโยค มีทั้งประโยคคำถามและประโยคบอกเล่า หน้าที่ของเราคือเลือกประโยคตอบกลับที่เหมาะสมค่ะ เนอร์สว่า Choice ก็ช่วยพอสมควรนะ ใช้ศัพท์ไม่ยาก แล้วก็ไม่ค่อยมีตัวเลือกที่ชวนสับสนเท่าไหร่


     Short Conversation: เป็นบทสนทนาสั้นๆ แบบถามมาตอบไปค่ะ เช่น นาย ก. ถามคำถาม แล้วนาย ข. ตอบ แค่นั้นเลยค่ะ โจทย์จะถามคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่ทั้งสองคนคุยกัน คำศัพท์ยังคงไม่ยากมาก แต่ตัวเนอร์สเริ่มมีปัญหาเรื่องเวลาค่ะ เนอร์สรู้สึกว่าข้อสอบเขาออกแบบให้เป็น Speed Test ด้วยนะ ต้องฟังเข้าใจแล้วตอบได้ทันทีถึงจะฝนทัน


      Long Conversation: เป็นบทสนทนาที่ยาวขึ้นเล็กน้อยค่ะ มีการพูดคุยโต้ตอบกันไปมาหลายประโยค คล้ายกับสถานการณ์จริงในชีวิตประจำวันมากขึ้น ยังคงเป็นหัวข้อใกล้ตัวเช่นเดิม แต่ปัญหาคือความเยอะค่ะ เพราะคำถามไม่ได้มีแค่ 1 ข้อต่อ 1 บทสนทนาแล้ว แต่เป็น 3-5 ข้อต่อ 1 บทสนทนาแทน คราวนี้ต้องทั้งฟัง ทำความเข้าใจ จำรายละเอียด อ่านโจทย์ อ่านตัวเลือก แล้วประมวลคำตอบ ขั้นตอนเพิ่มขึ้นเยอะเลยค่ะ


      Talks: จะมีเสียงพูดบรรยายให้เราฟังค่ะ คล้ายกับ Ted Talk  เนื้อหาไม่ใช่เรื่องที่ยากหรือวิชาการจ๋า แต่เป็นเรื่องธรรมดา เช่น การโฆษณา ประกาศ ประชาสัมพันธ์ ครูสอนนักเรียน เป็นต้น ความยากเหมือนใน Long Conversation ค่ะ คือ 1 บทสนทนา มีคำถาม 3-5 ข้อ นอกจากเราต้องทำความเข้าใจสิ่งที่ได้ยินแล้ว ยังต้องพยายามจำรายละเอียดสำคัญต่างๆ อีกด้วย เพื่อให้สามารถตอบคำถามได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์





Reading Part: 64/75


   เนอร์สคิดว่าโครงสร้างข้อสอบ MU-ELT แปลกตรงนี้แหละค่ะ ไม่แยกพาร์ท Reading, Vocabulary และ Grammar ออกจากกัน แต่เอา 3 หัวข้อนี้มารวมกันเป็นพาร์ท Reading แทน กลายเป็นว่าใน Reading 1 Part จะมีอีก 3 พาร์ทย่อยด้วยกันค่ะ ได้แก่



      Vocabulary: สำหรับเนอร์ส เนอร์สว่าพาร์ทนี้ยากสุดแล้วค่ะ คงเป็นเพราะ Vocabulary เป็นสิ่งที่แทบเดาไม่ได้เลย มีแค่รู้กับไม่รู้เท่านั้น ถ้าแปลโจทย์ได้ ประกอบกับรู้ความหมายของตัวเลือก แค่เลือกคำตอบที่ถูกต้องเหมาะสมไปเติมก็ได้คะแนนแล้วค่ะ แต่ปัญหาจะเกิดตอนไม่รู้นี่แหละ เนอร์สว่าเราต้องรู้คำแปลตัวเลือกอย่างน้อย 3 ใน 4 ข้อเลยนะ ถึงจะเลือก Choice ที่ถูกไปตอบได้ พอรู้ความหมายตัวเลือกไม่ครบแล้ว ส่วนใหญ่ก็ทำได้แค่ตัด Choice ที่พอรู้ แล้วเดาข้อที่ชอบเอาค่า T^T


     ถ้าใครอยากเก็บคะแนนพาร์ทนี้ก็ท่องศัพท์ไปเยอะๆ นะคะ คำศัพท์มีตั้งแต่ระดับปานกลางจนถึงยากเลยค่ะ



      Grammar: ไม่ยากมากนะคะ เนอร์สว่าง่ายกว่าใน O-NET กับ 9 วิชาสามัญอีก ถ้าเป็นเรื่อง Tense ก็ออกแค่ Tense ที่เราเคยเจอบ่อยๆ เช่น Present simple, present continuous, present perfect, past simple, past continuous, past perfect, future simple, future continuous ประมาณนี้ค่ะ

      ประกอบกับออกพวกคำเชื่อมที่แสดงความสอดคล้องกัน (and, or,...) ความขัดแย้ง (but, however, on the other hand, although, ...) เพิ่มข้อมูล (moreover, in addition,...) เป็นต้น

     Subject-Verb Agreement ก็มีหลายข้อนะคะ จะมีประโยคมาให้เราเลือกเติมกริยาที่เหมาะสมค่ะ ต้องดูความหมาย ดู Tense และสุดท้าย อย่าลืมดูนะคะว่าต้องผันตามประธานไหม ต้องแม่นในเรื่องของคำนามนับได้/นับไม่ได้พอสมควร ดูว่าคำนามนั้นเติม s,es ได้ไหม เพราะมันส่งผลต่อการเลือกใช้ verb เต็มๆ เลย



     Short Reading: เนอร์สว่า Reading เป็นพาร์ทที่ง่ายสุดในข้อสอบเลยยย  Short Reading มีความยาวประมาณ 1 Paragraph เองค่ะ แถมเนื้อหายังใกล้ตัวและไม่ค่อยยากด้วย คำถามไม่ซับซ้อน ตัวเลือกก็ไม่ค่อยหลอกให้สับสน



     Long Reading: พาร์ทนี้ก็ง่ายค่ะ ถึงแม้จะเป็น Long Reading  แต่บทความที่นำมาออกข้อสอบยังสั้นกว่าใน GAT ENG และ 9 วิชาสามัญเยอะเลยย ปกติบทความใน GAT ENG และ 9 วิชาฯ จะยาวประมาณ 1 หน้ากระดาษ A4  บางเรื่องยาว 1 หน้ากว่าๆ เลย แต่ของ MU-ELT ยาวแค่ประมาณครึ่งหน้ากระดาษเองค่ะ เนื้อหาก็เป็นเรื่องใกล้ตัวเหมือนเดิมเลย คำศัพท์และคำถามก็ไม่ได้ยากมากนัก




My Personal Techniques 📝


    เนอร์สแนะนำให้ทุกคนไปติวกับโครงการ MU-ELT Preparation ที่จัดโดยคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลเลยค่ะ เนอร์สได้มีโอกาสไปติวมาเมื่อวันที่ 8-11 กรกฏาคม 2562 ไปครบทั้ง 3 วันเลยนะ อยากแนะนำให้ทุกคนลองไปติว ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็อย่าขาดนะคะ ไปให้ครบ อย่าไปเช้าโดดบ่ายเลย เสียดายชีทและความตั้งใจที่อาจารย์เตรียมมาสอนนะ ไม่มีการแจกไฟล์นะคะ อาจารย์จะแจกชีทเป็นรอบเช้าและรอบบ่าย เนอร์สว่าอาจารย์แต่ละท่านสอนดีและตรงกับข้อสอบจริงค่อนข้างมาก ใกล้ของจริงทุกพาร์ท ย้ำว่าทุกพาร์ทค่ะ  ยกเว้น Vocabulary เพราะต้องใช้ศัพท์ที่เราไม่เคยเห็นมาออกข้อสอบเนอะ ถ้าเอาจากข้อสอบจริงมาคงกลายเป็นการบอกข้อสอบแทน 😂


     เนอร์สไม่แน่ใจว่าปีนี้มีการจัดติวช่วงไหนบ้าง ทุกคนลองติดตามข่าวสารในเว็บไซต์หรือเพจเฟซบุ๊คของคณะศิลปศาสตร์ มหิดลดูนะคะ น่าจะมีการประชาสัมพันธ์เรื่อยๆ เนอร์สว่าคุ้มค่าแก่การไปติวนะ เพราะนอกจากไปติวให้ครบทุกวัน+เอาชีทกลับมาอ่านทวน เนอร์สก็ไม่ได้ไปเรียนหรือไปอ่านเสริมจากที่ไหนเลยค่ะ


    อีกเทคนิคนึงคือ เข้าไปฝึกทำข้อสอบพาร์ท Vocabulary & Grammar ใน course MU-ELT Eltrivia บนเว็บไซต์ https://mux.mahidol.ac.th  ค่ะ เนอร์สเพิ่งรู้ว่ามีคอร์สดีๆ แบบนี้ด้วย เสียดายมากกก เนอร์สรู้ก่อนสอบไม่กี่วันเอง เลยเข้าไปทำพาร์ท Grammar ได้แค่ประมาณ 20 ข้อ แล้วเจอในข้อสอบจริงข้อนึงด้วยนะคะ แบบฝึกหัดมีทั้งหมด 2,000 กว่าข้อ ใครอยากฝึกก่อนสอบเชิญได้เลยค่าาา





!WARNING!


      สุดท้ายแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในการทำข้อสอบคือการมีสตินะคะทุกคนน ต้องมีสติมากๆ นะ พยายามอย่าเหม่อ อย่าหลุด โดยเฉพาะพาร์ทฟัง ฟังได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ดังนั้นถ้าฟังข้อไหนไม่ทันจริงๆ เนอร์สแนะนำให้ปล่อยข้อนั้นไปเลยค่ะ อย่ามัวแต่นั่งคิด เพราะมีเวลาให้ฝนคำตอบน้อยมากกก เผลอแป๊บเดียวเริ่มอ่านข้อใหม่แล้ว ถ้าเรามัวแต่นั่งจมกับข้อเก่า ก็จะไม่ได้ฟังข้อใหม่ แล้วมันจะทับถมไปเรื่อยๆ นะ ยอมเสียไปคะแนนเดียวแล้วมาตั้งสติกับข้อใหม่ดีกว่า

 
    สำหรับใครที่มีทักษะภาษาอังกฤษที่ดีอยู่แล้ว เนอร์สแนะนำให้ทำคะแนนสูงๆ ทะลุ 130+++ ไปเลยนะคะ เนอร์สเชื่อว่าทุกคนทำได้ถ้าเตรียมตัวดีและฝึกฝนมากพอ ความจริงตัวเนอร์สแอบหวัง 130 คะแนนขึ้นด้วย แต่ขอสารภาพบาปตรงนี้ว่าหลังจากไปติวเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมแล้ว เนอร์สก็ไม่ได้ทวนเลยค่ะ เพิ่งกลับมาทวน มาฝึกอีกครั้งไม่กี่วันก่อนสอบเอง น่าตีเนอะ แง อย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างนะคะ ฝึกเยอะๆ อย่างสม่ำเสมอน้าา  สู้เขาเราทำได้!



ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจนจบนะคะ ขอให้ทุกคนโชคดีค่ะ 💕




ปล. ใครอยากอ่านรีวิวหนังสือภาษาอังกฤษ เชิญทางนี้ได้เลยนะคะ 💛

👇

All the Books I've Read Before




วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2563

English Book Review9: When Breath Becomes Air

English Book Review9: When Breath Becomes Air



รีวิวหนังสือ: เมื่อลมหายใจกลายเป็นอากาศ




     สวัสดีค่าาา การรีวิวหนังสือภาษาอังกฤษของเนอร์สเดินทางมาถึงเล่มที่ 9 แล้วนะ เร็วมากๆ เลยยย เล่มนี้เป็นเล่มที่เนอร์สใช้พลังใจในการอ่านค่อนข้างมาก เพราะคำศัพท์ยากและเนื้อหาเองก็หนักหน่วง แต่พออ่านจบแล้วไม่รู้สึกผิดหวังเลยค่ะ ไปดูข้อมูลเบื้องต้นของเล่มนี้กันก่อนเล้ยยย



Title:           When Breath Becomes Air
ชื่อไทย:       เมื่อลมหายใจกลายเป็นอากาศ
Author:      Paul Kalanithi
Category:   Non-fiction/ Autobiography
Pages:         228
Price:          ฿325.-
Store:         ร้าน Asia Books @The Mall Bang Kae






ปกนี้สวยแบบมินิมอลมากเลยค่ะ เรียบง่ายแต่งดงาม 💙




Rate / คะแนนเนื้อหา : 9 / 10

Reason:



     หนังสือเล่มนี้ต่างจากเล่มอื่นๆ ที่เนอร์สเคยอ่านมาตลอด ตรงที่เล่มนี้เป็นเรื่องจริงค่ะ เป็นหนังสืออัตชีวประวัติ บอกเล่าเรื่องราวของศัลแพทย์ฝีมือดีท่านหนึ่งที่พบว่าตนเองเป็นมะเร็งปอดในวัยเพียงแค่ 35 ปี เขาจะมาถ่ายทอดความรู้สึก การตัดสินใจ รวมถึงวิธีการรับมืออันกล้าหาญของตัวเขาเองและบุคคลรอบข้างให้พวกเราได้อ่านกันค่ะ



     เป็นหนังสืออีกเล่มที่เนอร์สรู้สึกดีใจมากๆ ที่ได้อ่าน กว่าจะอ่านจบได้น้ำตาก็ไหลไปหลายลิตรเลยค่ะ


    เปิดเล่มมาด้วย Foreword ที่เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อค่ะ เขามีโอกาสได้รู้จักกับคุณ Paul (ผู้เขียน) ไม่นานก่อนคุณ Paul จะเสียชีวิต ตามด้วยบทนำที่เขียนโดยตัวคุณ Paul เอง เนอร์สประทับใจตั้งแต่บทนำเลยค่ะ ภาษา การบรรยาย ทุกอย่างมันดีไปหมด เปิดมาได้น่าสนใจ ชวนติดตามมาก



    Part 1  คุณ Paul ย้อนกลับไปเล่าเรื่องตั้งแต่สมัยที่ตัวเองยังเป็นนักเรียนมัธยมปลายเลยค่ะ ทำให้เราได้เห็นช่วงชีวิตปกติธรรมดาของเขา ช่วงเวลาก่อนที่จะเป็นศัลยแพทย์มากฝีมือ ก่อนที่จะต้องแบกชีวิตของผู้คนเอาไว้บนไหล่ ทำให้เนอร์สได้เห็นการแปรผันในชีวิตของเขา เด็กธรรมดาที่รอบตัวรายล้อมไปด้วยผู้คนในวิชาชีพแพทย์ ทั้งพ่อ ลุง และพี่ชาย ทำให้ในใจของเขาไม่มีความคิดที่จะเดินรอยตามเลย

    เมื่อขึ้นมหาวิทยาลัย คุณ Paul ก็เลือกเรียนวรรณกรรมค่ะ เขาสนใจในงานเขียนและปรัชญา โดยเฉพาะเรื่องความเป็น ความตาย และความหมายของชีวิต นั่นส่งผลให้เขาเลือกเรียน Neuroscienece (ประสาทวิทยาศาสตร์) ต่อ เขาหลงรักศาสตร์นี้เต็มๆ และตัดสินใจเรียนแพทย์ต่อในที่สุด



    ช่วงที่คุณ Paul บอกเล่าชีวิตการเป็นนักศึกษาแพทย์คือช่วงที่สนุกมากๆ เลยค่ะสำหรับเนอร์ส เหมือนกำลังดูซีรีย์เรื่อง The Good Doctor อยู่เลย เนอร์สชอบที่เขานำเคสคนไข้ที่น่าสนใจหลายๆ เคสมาเล่าให้ฟัง แถมยังอธิบายอาการ การวินิจัย การผ่าตัด การรักษา ได้เข้าใจง่ายมากๆ แต่คุณ Paul ก็ยังรักษาจรรยาบรรณของวิชาชีพแพทย์นะคะ ชื่อคนไข้ เพื่อนร่วมงานหรือพยาบาลทุกคนจะเป็นนามสมมุติหมดเลยค่ะ เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนตัวของทุกคน


    ชีวิตการเป็นหมอของคุณ Paul ถูกสะท้อนออกมาผ่านตัวอักษรทั้งหมด ทั้งความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยคนไข้ไว้ได้ ความอ่อนล้าหลังยืนผ่าตัดติดกัน 6 ชั่วโมง ไปจนถึงความยินดีเมื่อสามารถยื้อชีวิตของคนไข้เอาไว้ได้ รักษาตั้งแต่อาการโคม่าจนกลับไปดำเนินชีวิตได้เหมือนคนปกติ



    Part 2  เป็นช่วงที่คุณ Paul เล่าเรื่องหลังรู้ตัวว่าตัวเองป่วยด้วยโรคมะเร็งค่ะ ทุกคนคะ เนอร์สร้องไห้เหมือนเป็นญาติเขาเองเลย ไม่รู้ว่าเขาเขียนได้อย่างไรเหมือนกัน นึกภาพตามที่เขาเล่าแล้วก็เศร้าค่ะ


    แพทย์ฝีมือดีคนนึงที่กำลังจะได้แตะจุดสูงสุดของชีวิต แทบจะมีทุกสิ่งที่ต้องการในวัยเพียง 35 ปี ต้องมาพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งปอดขั้นที่ 4 เวลาที่เคยเดินไปข้างหน้า อยู่ๆ ก็นับถอยหลัง คนที่เคยสวมเสื้อกาวน์รักษาคนอื่นมาตลอด ตอนนี้ต้องเปลี่ยนไปสวมชุดคนไข้และปล่อยให้คนอื่นรักษาตัวเองแทน


     แต่มันก็เป็นความเจ็บปวดที่งดงามนะคะ ถึงแม้จะเศร้า หดหู่ หมดกำลังใจหลังรู้คำวินิจฉัยของตนเอง แต่คุณ Paul ก็สามารถก้าวต่อไปได้ด้วยกำลังใจจากคนรอบตัว ทั้งภรรยา พ่อแม่ พี่น้อง ญาติๆ ทุกคน เพื่อนสมัยเรียน เพื่อนที่ทำงาน รวมถึงตัวแพทย์ที่รักษาคุณ Paul เองด้วย



     คุณ Paul จะชอบถามแพทย์ประจำตัวเสมอว่าผมอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ แต่เธอไม่เคยตอบเขาเลยค่ะ คำตอบเดียวของเธอคือ 'คุณยังอยู่ได้อีกนาน จะถามทำไม'

     สุดท้าย ตอนอาการเขาทรุดมากๆ เขาถามคำถามเดิมกับเธออีกครั้ง เธอโกหกเขาว่า 'คุณอยู่ได้อีก 5 ปี'  ทั้งที่ความจริงอาจไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ คงเป็นการใช้จิตวิทยาเข้าช่วยด้วยค่ะ บางทีถ้าคนไข้เชื่ออย่างนั้นจริงๆ เขาก็อาจจะอยู่ได้นานกว่าที่ตัวเองคิดไว้  T^T



    อีกสิ่งที่ชอบคือ ตอนที่คุณ Paul และ Lucy (ภรรยา) ตัดสินใจจะมีลูกค่ะ ทั้งคู่ตัดสินใจหลังทราบว่าคุณ Paul ป่วยแล้วด้วยนะคะ เป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญมากกกก ทีแรกคุณ Paul ลังเล เพราะกลัวว่าหลังตัวเองจากไป ภรรยาจะเหนื่อย ต้องเลี้ยงลูกคนเดียว แต่คุณ Lucy ก็ยังยืนยันว่าต้องการมีลูกค่ะ เพราะลูกเป็นสิ่งที่ทั้งคู่ต้องการให้มาเติมเต็มชีวิตครอบครัวโดยตลอด และเธออยากให้ลูกเป็นตัวแทนของเขา หลังเขาจากไปค่ะ



    ช่วงท้ายตอนใกล้จบ เนอร์สร้องไห้แทบทุกหน้าเลยค่ะ สงสารเขา ตอนอาการทรุดคือน่ากลัวมากเลย เนื้อร้ายปฏิเสธยาทุกอย่าง การรักษาทุกประเภท อาหารโปรดที่เคยกินจนหมดกลับแตะแทบไม่ได้ ทานอะไรไปก็อาเจียนออกหมดจนร่างกายขาดน้ำ ไตวาย ระบบหายใจล้มเหลว ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูงจนเข้าขั้นวิกฤติต้องเข้าห้องไอซียู ฮือออ แค่กลับมาพิมพ์ก็จะร้องไห้อีกแล้วค่ะ 😭


    และเนื่องจากเล่มนี้เป็นอัตชีวประวัติ คุณ Paul เขียนเองทั้งหมด แต่หลังเขาเสียชีวิตแล้ว ใครกันที่จะเป็นผู้สานต่อหนังสือเล่มนี้จนจบ?

    คำตอบคือ ภรรยาของเขาเองค่ะ คุณ Lucy เป็นผู้เขียนบทส่งท้ายของหนังสือเล่มนี้ และเขียนได้ดีมากด้วยค่ะ เนอร์สเสียน้ำตาอีกแล้ว ตลอดเวลาที่อ่านหนังสือเล่มนี้ เนอร์สได้อ่านในมุมของคุณ Paul อย่างเดียว เห็นว่าคุณ Lucy อยู่เคียงข้างเขามาตลอด เนอร์สชื่นชมเธอที่มีสติ เก่ง และเข้มแข็งมาก แต่เมื่อได้อ่านพาร์ทสุดท้ายที่เธอเขียนเอง ทำให้เนอร์สได้รู้ว่าเธอเองก็มีมุมอ่อนแอ หลบไปร้องไห้ไม่รู้กี่ครั้ง แต่คนมันรักไปแล้วอ่ะเนอะ ยิ่งเวลาเหลือน้อย ก็ยิ่งต้องใช้ให้คุ้มค่ามากที่สุด


     คะแนนที่หักไปนิดเดียว คงเป็นเรื่องของคำศัพท์ที่ยากเกินความเข้าใจของคนทั่วไป บางช่วงเนอร์สคิดว่าการบรรยายอาจยิ่งใหญ่เกินไปสักหน่อย โครงสร้างประโยคซับซ้อน เข้าใจยาก บางทีอ่านจบพารากราฟแล้วต้องหยุดเพื่อตีความนิดนึงด้วยค่ะ 😂

     และช่วงแรกดำเนินเรื่องค่อนข้างช้า อ่านแล้วมีรู้สึกเบื่อบ้าง ถ้าไม่อดทนคงหยุดอ่านตั้งแต่ช่วงต้นๆ เลยค่ะ แต่พอผ่านช่วงนั้นไปก็สนุกขึ้นเรื่อยๆ จนวางแทบไม่ลงเลยยย




My Favourite Moment: Part II Cease Not Till Death, Page 196



    Time for me is now double-edged. Death. Perhaps later than I think, but certainly sooner than I desire.


    Part of the cruelty of cancer, though, is not only that it limits your time; it also limits your energy.


    Our daughter, Cady. I hope I'll live long enough that she has some memory of me.




คะแนนความยากของภาษาที่ใช้: 7/10

Reason:


       ถ้าทุกคนเคยอ่านรีวิวของเนอร์สมาหลายเล่ม จะเห็นเลยว่าเล่มนี้คะแนนความยากของภาษาสูงที่สุดเลยยย คำศัพท์ยากจริงๆ ค่ะ ศัพท์ทางการแพทย์เยอะมากกก รวมถึงศัพท์เฉพาะทางต่างๆ ด้วย ถ้าตัดคำเหล่านั้นออกไปก็ยังมีศัพท์อีกหลายคำที่แทบไม่เคยเห็น ไม่คุ้นตาเลย เพราะการเขียนของคุณ Paul จะค่อนข้างเน้นการบรรยายที่ประดิษฐ์คำสวยงาม เลยต้องสรรคำที่ไม่ธรรมดามาใช้


     เนอร์สคิดว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะเหมาะกับระดับ Upper-Intermediate หรือ Advanced ขึ้นไปค่ะ ถ้าภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงมาก อาจจะอ่านลำบากสักหน่อย เพราะนอกจากคำศัพท์ที่ยากแล้ว โครงสร้างประโยคยังซับซ้อน ต้องตีความเพิ่มอีกด้วยค่ะ


     ตัวอย่างคำศัพท์ยากนะคะ เช่น haggard, acolyte, ephemera, apostasy, cacophony, ambidextrous, egregious, asunder, cadaver  ประมาณนี้ค่ะ





       แม้จะมีอุปสรรคในเรื่องของภาษาบ้าง แต่เนอร์สก็ยังอยากแนะนำให้ทุกคนลองอ่านเล่มนี้กันนะคะ เป็นหนังสือที่สอนอะไรเนอร์สเยอะมาก ทั้งเรื่องวิชาการ การเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิต  ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ แล้วเจอกันในบล็อกต่อไปเมื่อเนอร์สอ่านเล่มใหม่จบนะคะ ถ้ามีหนังสืออะไรอยากแนะนำให้เนอร์สอ่าน คอมเม้นด้านล่างได้เลยนะคะ  สวัสดีค่า 💗