วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2564

English Book Review10: One of Us is Lying

English Book Review10: One of Us is Lying

รีวิวหนังสือ: บอกแล้วไง ว่าไม่ได้ฆ่า


    สวัสดีค่าทุกคนนน เนอร์สหายไปนานมากเลยย เนอร์สรีวิวหนังสืออังกฤษเล่มล่าสุดเมื่อ 14 มกราปีที่แล้วแหนะ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ ค่ะ ตอนนี้เนอร์สเรียนปีสองแล้ว ชีวิตยุ่งมากๆเลยค่ะ ประกอบกับได้ลองทำอะไรใหม่หลายอย่าง กลับมาเป็นติ่ง เรียนภาษาเกาหลี วาดรูป ระบายสี ลืมการอ่านหนังสืออังกฤษไปเลยย เพิ่งได้กลับมาอ่านอีกครั้งในวันหยุดช่วงปลายปีที่ผ่านมานี่แหละค่ะ 


     เล่มนี้จะเป็นยังไง ไปดูกันเลยยยย



Title:        One of Us is Lying
ชื่อไทย:    บอกแล้วไง ว่าไม่ได้ฆ่า
Author:    Karen M. McManus
Category: Young adult fiction, mystery, contemporary fiction
Pages:       360
Price:        ฿315.-
Store:        ร้าน Asia books @The Mall Bang Kae







Rate / คะแนนเนื้อหา: 8 / 10
Reason:

        โดยรวมแล้วเป็นหนังสือที่น่าสนใจและสนุกทีเดียวค่ะ พล็อตโดยย่อคือ นักเรียน high-school 5 คนถูกกักบริเวณพร้อมกัน ได้แก่ Bronwyn เด็กสาวที่เรียนเก่งอันดับต้นๆ ของโรงเรียน, Cooper หนุ่มนักกีฬาสุดหล่อแสนเพอร์เฟ็กต์, Nate หนุ่มลุคแบดบอย ผู้มีประวัติที่ไม่ดีนัก, Addy สาวหน้าสวย โปรไฟล์ดีประจำโรงเรียน และ Simon เด็กหนุ่มเจ้าของบล็อค gossip ที่คอยแฉความลับของผู้คนในโรงเรียน  Simon เสียชีวิตขณะถูกกักบริเวณอยู่ภายในห้องเดียวกันกับเพื่อนอีก 4 คน ใช่ค่ะ ทุกคนมีความลับ ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนกล้าทำอะไรได้บ้าง เพื่อที่จะปกปิดมัน

        อันดับแรกเลยคงต้องชมพล็อต โครงเรื่องน่าสนใจมากๆ ค่ะสำหรับเนอร์ส เอาเป็นว่าพลิกหลังเล่มอ่านแล้วหยิบเลย 5555 พอได้เปิดอ่านจริงๆ ก็ไม่ผิดหวังค่ะ เดินเรื่องเร็วมากในช่วงแรก มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้น การเล่าเรื่องเป็นแบบสลับระหว่างตัวหลักทั้ง 4 คน Bronwyn, Nate, Cooper และ Addy 

        ช่วงสืบสวนหลัง Simon ตายเป็นช่วงที่สนุกและน่าลุ้นมากๆ มีรายละเอียดและเหตุการณ์หลายอย่างเลยที่เซอร์ไพรส์คนอ่าน บางอย่างก็พอเดาได้ เป็นเหมือนนิยายวัยรุ่นทั่วไป แต่บางจุดก็ทำให้เซอร์ไพรส์ได้จริงๆ ค่ะ ช่วงกลางเรื่องความเข้มข้นอาจดร็อปลงไปบ้าง เฉื่อยๆ นิดนึง แต่ก็ไม่ได้เนือยขนาดทำให้ต้องวางหรือเลิกอ่านค่ะ

        พอมาถึงช่วงไตรมาสสุดท้าย เนอร์สว่าคงเป็นช่วงที่น่าติดตามที่สุดของเล่มนี้แล้ว เมื่อมีหนึ่งในนักเรียนที่เป็นผู้ต้องสงสัยถูกจับจริงจัง คนที่เหลือจึงต้องรวมตัวกันสืบแทนตำรวจที่ดูจะปักใจเชื่อไปแล้วว่าเด็กคนนั้นทำจริงๆ ช่วงหาความจริงสนุกมากค่ะ เหมือนเราค่อยๆ ได้รู้ความจริงไปพร้อมกับตัวละคร คุณนักเขียนก็มีชั้นเชิง ไม่ยอมเฉลยง่ายๆ ค่อยๆ ให้รายละเอียดเพิ่มมาทีละนิด จนถึงจุดที่เนอร์สเดาได้ว่าสุดท้ายแล้วเกิดอะไรขึ้น


        บทสรุปของเรื่องนี้ก็ทำเนอร์สอึ้งไม่เบาเหมือนกันนะคะ ถูกหลอกให้เคว้งมาตลอดทั้งเรื่อง แต่สำหรับเนอร์ส เหตุผลหรือตรรกะของตัวละครหลายคนยังดูไม่ค่อย make sense เท่าไหร่ เป็นเหตุผลที่เนอร์สให้คะแนน 8/10 ด้วย เพราะรู้สึกว่าหลายจุดยังอ่านแล้วตะขิดตะขวงใจอยู่ ไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของตัวละครหลายๆคน ในหลายๆฉาก

        Characters ของตัวละครก็หลากหลายดีค่ะ รวมถึงมีการนำเสนอความสัมพันธ์หลายๆ แบบด้วย ทั้งคนรัก เพื่อน friends-to-lovers พี่น้อง พ่อแม่ ย่าหลาน เก็บครบเลยค่ะ รวมถึงประเด็นอ่อนไหวต่างๆ ของวัยรุ่นด้วย เช่น ความกดดันจากครอบครัวว่าต้องทำเกรดให้ดี ต้องเข้ามหาวิทยาลัยอันดับต้นให้ได้ ความคาดหวังจากพ่อที่อยากให้ลูกเป็นแบบที่ตัวเองต้องการ อยากให้ลูกทำแทนในสิ่งที่ตัวเองเคยทำไม่ได้ การค้นพบว่าตัวเองเป็นเพศที่สาม การสับสนในความรู้สึก เป็นต้น 


        แต่ถ้าไม่คิดมาก แล้วมองในแง่ที่ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดกับเด็กในวัย 16-17 ปี แต่ละคนยังไม่เป็นผู้ใหญ่ ยังไม่มีความคิดความอ่านที่สมบูรณ์ จะทำอะไรหลายอย่างที่มันดูไม่มีวุฒิภาวะก็ไม่แปลก และถ้าเรามองภาพรวม มองหลายๆ อย่างประกอบกัน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนหนึ่งคนสะสมมาเป็นเวลานาน พร้อมปัจจัยหลายๆ อย่างย่อมส่งผลให้คนๆ นึงทำสิ่งที่เกินความคาดหมายได้เหมือนกัน


        ก่อนจบรีวิว ขอฝากประโยคนึงเหมือนเดิมได้มั้ยคะ ;^;  

    'In the world where you can be anything, please be kind. And don't forget to treat people with kindness.' 💘
        



My Favourite Moment: Addy, Wednesday October 3, 7:50 a.m., Chapter 11, Page 129


'I can't stand being here. All my friends hate me.'


'Screw them.' TJ gives me a lopsided grin. 'If they're still being assholes tomorrow, come sit with me. They wanna talk, let's give them something to talk about.'


It shouldn't make me smile, but it almost does.




คะแนนความยากของภาษาที่ใช้: 5 / 10
Reason:
 

        คำศัพท์ในเรื่องค่อนข้างยากอยู่นะคะ เปิดมาช่วงแรกก็มีแต่คำยากๆ เลย ส่วนใหญ่จะเป็นศัพท์วัยรุ่น ศัพท์แสลงต่างๆ ที่เด็ก American น่าจะใช้กันจริงๆ ใน High-school  อาจทำให้รู้สึกเบื่อได้ค่ะ ถ้าเจอคำยากแล้วแปลไม่ออกเยอะๆ แต่ยิ่งอ่านไป สำหรับเนอร์สศัพท์ยิ่งง่ายขึ้นนะคะ ไม่ค่อยยากแล้ว อาจจะยังมีแสลงหรือสำนวนบ้าง แต่ก็อ่านเข้าใจค่ะ เพราะโครงสร้างประโยคไม่ได้ซับซ้อนเท่าไรนัก


        ถ้าให้ประมาณระดับภาษาก็คงเหมาะกับผู้อ่านระดับ Intermediate หรือ Upper-Intermediate ขึ้นไป ตัวอย่างศัพท์ยาก เช่น omniscient, sanctimonious, deviate, complacency, imperceptible, gourmet, rhetorical, notorius, ravenous, meddler, concussion  เป็นต้นค่ะ




        สุดท้ายก็ขอขอบคุณทุกคนมากๆ เลยนะคะที่กดเข้ามาอ่าน หวังว่ารีวิวฉบับนี้จะทำให้ทุกคนสนใจและมีประโยชน์แก่ทุกคนไม่มากก็น้อยนะคะ มีหนังสือเล่มไหนอยากแนะนำ หรือมีความคิดเห็นอะไรอยากบอกกัน คอมเม้นได้เลยนะคะ เนอร์สรออ่านอยู่นะ ไว้เจอกันอีกครั้งเมื่อเนอร์สอ่านเล่มถัดไปจบนะคะ สวัสดีค่าาา 💗




วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2563

Review การสอบ MU-ELT (18/01/2020)

Review สอบ MU-ELT (รอบวันเสาร์ที่ 18 มกราคม 2563)



   สวัสดีค่าาา เจ้าของบล็อกชื่อเนอร์สนะคะ กำลังศึกษาอยู่ชั้นปี 1  คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ปกติเนอร์สจะชอบรีวิวหนังสือภาษาอังกฤษลงบล็อก แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไปค่ะ ในบล็อกนี้เนอร์สจะมารีวิวการสอบวัดระดับการใช้ภาษาอังกฤษซึ่งจัดโดยมหาวิทยาลัยมหิดล หรือที่เราคุ้นเคยกันดีในชื่อว่าการสอบ 'MU-ELT' ค่ะ



    เนอร์สมีโอกาสสอบ MU-ELT เมื่อวันเสาร์ที่ 18 มกราคม 2563 เวลา 09.30 - 11.30 น. ค่ะ หลังสอบ 10 วัน ตอนนี้คะแนนก็ออกมาให้ชื่นชมเป็นที่เรียบร้อยแล้ววว



เนอร์สได้ 127/150 ค่ะ  ผ่านแล้วววว ไม่ต้องไปสอบอีกแล้ว เย้!







    เนอร์สจะบอกคะแนนในแต่ละพาร์ทของตัวเอง รวมถึงรีวิวแนวข้อสอบและแนะนำแนวทางการเตรียมตัวเท่าที่จำได้นะคะ💗




Listening Part: 63/75


    ส่วนตัวแล้ว เนอร์สคิดว่าพาร์ทฟังมีระดับความยากปานกลางนะ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าทุกคนฝึกมามากแค่ไหนด้วย คำศัพท์ในบทสนทนาไม่ค่อยยากมาก เป็นศัพท์ทั่วไปที่นักเรียน/นักศึกษาน่าจะเคยสัมผัสผ่านหูผ่านตามาบ้าง เช่น ศัพท์เกี่ยวกับการเรียน ส่งงาน นัดหมาย จองร้านอาหาร ถามเส้นทาง เป็นต้น


     Question&Response: เนอร์สว่าส่วนนี้ง่ายสุดในพาร์ทฟังแล้ววว จะมีเสียงเจ้าของภาษามาให้ฟัง 2-3 ประโยค มีทั้งประโยคคำถามและประโยคบอกเล่า หน้าที่ของเราคือเลือกประโยคตอบกลับที่เหมาะสมค่ะ เนอร์สว่า Choice ก็ช่วยพอสมควรนะ ใช้ศัพท์ไม่ยาก แล้วก็ไม่ค่อยมีตัวเลือกที่ชวนสับสนเท่าไหร่


     Short Conversation: เป็นบทสนทนาสั้นๆ แบบถามมาตอบไปค่ะ เช่น นาย ก. ถามคำถาม แล้วนาย ข. ตอบ แค่นั้นเลยค่ะ โจทย์จะถามคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่ทั้งสองคนคุยกัน คำศัพท์ยังคงไม่ยากมาก แต่ตัวเนอร์สเริ่มมีปัญหาเรื่องเวลาค่ะ เนอร์สรู้สึกว่าข้อสอบเขาออกแบบให้เป็น Speed Test ด้วยนะ ต้องฟังเข้าใจแล้วตอบได้ทันทีถึงจะฝนทัน


      Long Conversation: เป็นบทสนทนาที่ยาวขึ้นเล็กน้อยค่ะ มีการพูดคุยโต้ตอบกันไปมาหลายประโยค คล้ายกับสถานการณ์จริงในชีวิตประจำวันมากขึ้น ยังคงเป็นหัวข้อใกล้ตัวเช่นเดิม แต่ปัญหาคือความเยอะค่ะ เพราะคำถามไม่ได้มีแค่ 1 ข้อต่อ 1 บทสนทนาแล้ว แต่เป็น 3-5 ข้อต่อ 1 บทสนทนาแทน คราวนี้ต้องทั้งฟัง ทำความเข้าใจ จำรายละเอียด อ่านโจทย์ อ่านตัวเลือก แล้วประมวลคำตอบ ขั้นตอนเพิ่มขึ้นเยอะเลยค่ะ


      Talks: จะมีเสียงพูดบรรยายให้เราฟังค่ะ คล้ายกับ Ted Talk  เนื้อหาไม่ใช่เรื่องที่ยากหรือวิชาการจ๋า แต่เป็นเรื่องธรรมดา เช่น การโฆษณา ประกาศ ประชาสัมพันธ์ ครูสอนนักเรียน เป็นต้น ความยากเหมือนใน Long Conversation ค่ะ คือ 1 บทสนทนา มีคำถาม 3-5 ข้อ นอกจากเราต้องทำความเข้าใจสิ่งที่ได้ยินแล้ว ยังต้องพยายามจำรายละเอียดสำคัญต่างๆ อีกด้วย เพื่อให้สามารถตอบคำถามได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์





Reading Part: 64/75


   เนอร์สคิดว่าโครงสร้างข้อสอบ MU-ELT แปลกตรงนี้แหละค่ะ ไม่แยกพาร์ท Reading, Vocabulary และ Grammar ออกจากกัน แต่เอา 3 หัวข้อนี้มารวมกันเป็นพาร์ท Reading แทน กลายเป็นว่าใน Reading 1 Part จะมีอีก 3 พาร์ทย่อยด้วยกันค่ะ ได้แก่



      Vocabulary: สำหรับเนอร์ส เนอร์สว่าพาร์ทนี้ยากสุดแล้วค่ะ คงเป็นเพราะ Vocabulary เป็นสิ่งที่แทบเดาไม่ได้เลย มีแค่รู้กับไม่รู้เท่านั้น ถ้าแปลโจทย์ได้ ประกอบกับรู้ความหมายของตัวเลือก แค่เลือกคำตอบที่ถูกต้องเหมาะสมไปเติมก็ได้คะแนนแล้วค่ะ แต่ปัญหาจะเกิดตอนไม่รู้นี่แหละ เนอร์สว่าเราต้องรู้คำแปลตัวเลือกอย่างน้อย 3 ใน 4 ข้อเลยนะ ถึงจะเลือก Choice ที่ถูกไปตอบได้ พอรู้ความหมายตัวเลือกไม่ครบแล้ว ส่วนใหญ่ก็ทำได้แค่ตัด Choice ที่พอรู้ แล้วเดาข้อที่ชอบเอาค่า T^T


     ถ้าใครอยากเก็บคะแนนพาร์ทนี้ก็ท่องศัพท์ไปเยอะๆ นะคะ คำศัพท์มีตั้งแต่ระดับปานกลางจนถึงยากเลยค่ะ



      Grammar: ไม่ยากมากนะคะ เนอร์สว่าง่ายกว่าใน O-NET กับ 9 วิชาสามัญอีก ถ้าเป็นเรื่อง Tense ก็ออกแค่ Tense ที่เราเคยเจอบ่อยๆ เช่น Present simple, present continuous, present perfect, past simple, past continuous, past perfect, future simple, future continuous ประมาณนี้ค่ะ

      ประกอบกับออกพวกคำเชื่อมที่แสดงความสอดคล้องกัน (and, or,...) ความขัดแย้ง (but, however, on the other hand, although, ...) เพิ่มข้อมูล (moreover, in addition,...) เป็นต้น

     Subject-Verb Agreement ก็มีหลายข้อนะคะ จะมีประโยคมาให้เราเลือกเติมกริยาที่เหมาะสมค่ะ ต้องดูความหมาย ดู Tense และสุดท้าย อย่าลืมดูนะคะว่าต้องผันตามประธานไหม ต้องแม่นในเรื่องของคำนามนับได้/นับไม่ได้พอสมควร ดูว่าคำนามนั้นเติม s,es ได้ไหม เพราะมันส่งผลต่อการเลือกใช้ verb เต็มๆ เลย



     Short Reading: เนอร์สว่า Reading เป็นพาร์ทที่ง่ายสุดในข้อสอบเลยยย  Short Reading มีความยาวประมาณ 1 Paragraph เองค่ะ แถมเนื้อหายังใกล้ตัวและไม่ค่อยยากด้วย คำถามไม่ซับซ้อน ตัวเลือกก็ไม่ค่อยหลอกให้สับสน



     Long Reading: พาร์ทนี้ก็ง่ายค่ะ ถึงแม้จะเป็น Long Reading  แต่บทความที่นำมาออกข้อสอบยังสั้นกว่าใน GAT ENG และ 9 วิชาสามัญเยอะเลยย ปกติบทความใน GAT ENG และ 9 วิชาฯ จะยาวประมาณ 1 หน้ากระดาษ A4  บางเรื่องยาว 1 หน้ากว่าๆ เลย แต่ของ MU-ELT ยาวแค่ประมาณครึ่งหน้ากระดาษเองค่ะ เนื้อหาก็เป็นเรื่องใกล้ตัวเหมือนเดิมเลย คำศัพท์และคำถามก็ไม่ได้ยากมากนัก




My Personal Techniques 📝


    เนอร์สแนะนำให้ทุกคนไปติวกับโครงการ MU-ELT Preparation ที่จัดโดยคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลเลยค่ะ เนอร์สได้มีโอกาสไปติวมาเมื่อวันที่ 8-11 กรกฏาคม 2562 ไปครบทั้ง 3 วันเลยนะ อยากแนะนำให้ทุกคนลองไปติว ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็อย่าขาดนะคะ ไปให้ครบ อย่าไปเช้าโดดบ่ายเลย เสียดายชีทและความตั้งใจที่อาจารย์เตรียมมาสอนนะ ไม่มีการแจกไฟล์นะคะ อาจารย์จะแจกชีทเป็นรอบเช้าและรอบบ่าย เนอร์สว่าอาจารย์แต่ละท่านสอนดีและตรงกับข้อสอบจริงค่อนข้างมาก ใกล้ของจริงทุกพาร์ท ย้ำว่าทุกพาร์ทค่ะ  ยกเว้น Vocabulary เพราะต้องใช้ศัพท์ที่เราไม่เคยเห็นมาออกข้อสอบเนอะ ถ้าเอาจากข้อสอบจริงมาคงกลายเป็นการบอกข้อสอบแทน 😂


     เนอร์สไม่แน่ใจว่าปีนี้มีการจัดติวช่วงไหนบ้าง ทุกคนลองติดตามข่าวสารในเว็บไซต์หรือเพจเฟซบุ๊คของคณะศิลปศาสตร์ มหิดลดูนะคะ น่าจะมีการประชาสัมพันธ์เรื่อยๆ เนอร์สว่าคุ้มค่าแก่การไปติวนะ เพราะนอกจากไปติวให้ครบทุกวัน+เอาชีทกลับมาอ่านทวน เนอร์สก็ไม่ได้ไปเรียนหรือไปอ่านเสริมจากที่ไหนเลยค่ะ


    อีกเทคนิคนึงคือ เข้าไปฝึกทำข้อสอบพาร์ท Vocabulary & Grammar ใน course MU-ELT Eltrivia บนเว็บไซต์ https://mux.mahidol.ac.th  ค่ะ เนอร์สเพิ่งรู้ว่ามีคอร์สดีๆ แบบนี้ด้วย เสียดายมากกก เนอร์สรู้ก่อนสอบไม่กี่วันเอง เลยเข้าไปทำพาร์ท Grammar ได้แค่ประมาณ 20 ข้อ แล้วเจอในข้อสอบจริงข้อนึงด้วยนะคะ แบบฝึกหัดมีทั้งหมด 2,000 กว่าข้อ ใครอยากฝึกก่อนสอบเชิญได้เลยค่าาา





!WARNING!


      สุดท้ายแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในการทำข้อสอบคือการมีสตินะคะทุกคนน ต้องมีสติมากๆ นะ พยายามอย่าเหม่อ อย่าหลุด โดยเฉพาะพาร์ทฟัง ฟังได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ดังนั้นถ้าฟังข้อไหนไม่ทันจริงๆ เนอร์สแนะนำให้ปล่อยข้อนั้นไปเลยค่ะ อย่ามัวแต่นั่งคิด เพราะมีเวลาให้ฝนคำตอบน้อยมากกก เผลอแป๊บเดียวเริ่มอ่านข้อใหม่แล้ว ถ้าเรามัวแต่นั่งจมกับข้อเก่า ก็จะไม่ได้ฟังข้อใหม่ แล้วมันจะทับถมไปเรื่อยๆ นะ ยอมเสียไปคะแนนเดียวแล้วมาตั้งสติกับข้อใหม่ดีกว่า

 
    สำหรับใครที่มีทักษะภาษาอังกฤษที่ดีอยู่แล้ว เนอร์สแนะนำให้ทำคะแนนสูงๆ ทะลุ 130+++ ไปเลยนะคะ เนอร์สเชื่อว่าทุกคนทำได้ถ้าเตรียมตัวดีและฝึกฝนมากพอ ความจริงตัวเนอร์สแอบหวัง 130 คะแนนขึ้นด้วย แต่ขอสารภาพบาปตรงนี้ว่าหลังจากไปติวเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมแล้ว เนอร์สก็ไม่ได้ทวนเลยค่ะ เพิ่งกลับมาทวน มาฝึกอีกครั้งไม่กี่วันก่อนสอบเอง น่าตีเนอะ แง อย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างนะคะ ฝึกเยอะๆ อย่างสม่ำเสมอน้าา  สู้เขาเราทำได้!



ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจนจบนะคะ ขอให้ทุกคนโชคดีค่ะ 💕




ปล. ใครอยากอ่านรีวิวหนังสือภาษาอังกฤษ เชิญทางนี้ได้เลยนะคะ 💛

👇

All the Books I've Read Before




วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2563

English Book Review9: When Breath Becomes Air

English Book Review9: When Breath Becomes Air



รีวิวหนังสือ: เมื่อลมหายใจกลายเป็นอากาศ




     สวัสดีค่าาา การรีวิวหนังสือภาษาอังกฤษของเนอร์สเดินทางมาถึงเล่มที่ 9 แล้วนะ เร็วมากๆ เลยยย เล่มนี้เป็นเล่มที่เนอร์สใช้พลังใจในการอ่านค่อนข้างมาก เพราะคำศัพท์ยากและเนื้อหาเองก็หนักหน่วง แต่พออ่านจบแล้วไม่รู้สึกผิดหวังเลยค่ะ ไปดูข้อมูลเบื้องต้นของเล่มนี้กันก่อนเล้ยยย



Title:           When Breath Becomes Air
ชื่อไทย:       เมื่อลมหายใจกลายเป็นอากาศ
Author:      Paul Kalanithi
Category:   Non-fiction/ Autobiography
Pages:         228
Price:          ฿325.-
Store:         ร้าน Asia Books @The Mall Bang Kae






ปกนี้สวยแบบมินิมอลมากเลยค่ะ เรียบง่ายแต่งดงาม 💙




Rate / คะแนนเนื้อหา : 9 / 10

Reason:



     หนังสือเล่มนี้ต่างจากเล่มอื่นๆ ที่เนอร์สเคยอ่านมาตลอด ตรงที่เล่มนี้เป็นเรื่องจริงค่ะ เป็นหนังสืออัตชีวประวัติ บอกเล่าเรื่องราวของศัลแพทย์ฝีมือดีท่านหนึ่งที่พบว่าตนเองเป็นมะเร็งปอดในวัยเพียงแค่ 35 ปี เขาจะมาถ่ายทอดความรู้สึก การตัดสินใจ รวมถึงวิธีการรับมืออันกล้าหาญของตัวเขาเองและบุคคลรอบข้างให้พวกเราได้อ่านกันค่ะ



     เป็นหนังสืออีกเล่มที่เนอร์สรู้สึกดีใจมากๆ ที่ได้อ่าน กว่าจะอ่านจบได้น้ำตาก็ไหลไปหลายลิตรเลยค่ะ


    เปิดเล่มมาด้วย Foreword ที่เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อค่ะ เขามีโอกาสได้รู้จักกับคุณ Paul (ผู้เขียน) ไม่นานก่อนคุณ Paul จะเสียชีวิต ตามด้วยบทนำที่เขียนโดยตัวคุณ Paul เอง เนอร์สประทับใจตั้งแต่บทนำเลยค่ะ ภาษา การบรรยาย ทุกอย่างมันดีไปหมด เปิดมาได้น่าสนใจ ชวนติดตามมาก



    Part 1  คุณ Paul ย้อนกลับไปเล่าเรื่องตั้งแต่สมัยที่ตัวเองยังเป็นนักเรียนมัธยมปลายเลยค่ะ ทำให้เราได้เห็นช่วงชีวิตปกติธรรมดาของเขา ช่วงเวลาก่อนที่จะเป็นศัลยแพทย์มากฝีมือ ก่อนที่จะต้องแบกชีวิตของผู้คนเอาไว้บนไหล่ ทำให้เนอร์สได้เห็นการแปรผันในชีวิตของเขา เด็กธรรมดาที่รอบตัวรายล้อมไปด้วยผู้คนในวิชาชีพแพทย์ ทั้งพ่อ ลุง และพี่ชาย ทำให้ในใจของเขาไม่มีความคิดที่จะเดินรอยตามเลย

    เมื่อขึ้นมหาวิทยาลัย คุณ Paul ก็เลือกเรียนวรรณกรรมค่ะ เขาสนใจในงานเขียนและปรัชญา โดยเฉพาะเรื่องความเป็น ความตาย และความหมายของชีวิต นั่นส่งผลให้เขาเลือกเรียน Neuroscienece (ประสาทวิทยาศาสตร์) ต่อ เขาหลงรักศาสตร์นี้เต็มๆ และตัดสินใจเรียนแพทย์ต่อในที่สุด



    ช่วงที่คุณ Paul บอกเล่าชีวิตการเป็นนักศึกษาแพทย์คือช่วงที่สนุกมากๆ เลยค่ะสำหรับเนอร์ส เหมือนกำลังดูซีรีย์เรื่อง The Good Doctor อยู่เลย เนอร์สชอบที่เขานำเคสคนไข้ที่น่าสนใจหลายๆ เคสมาเล่าให้ฟัง แถมยังอธิบายอาการ การวินิจัย การผ่าตัด การรักษา ได้เข้าใจง่ายมากๆ แต่คุณ Paul ก็ยังรักษาจรรยาบรรณของวิชาชีพแพทย์นะคะ ชื่อคนไข้ เพื่อนร่วมงานหรือพยาบาลทุกคนจะเป็นนามสมมุติหมดเลยค่ะ เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนตัวของทุกคน


    ชีวิตการเป็นหมอของคุณ Paul ถูกสะท้อนออกมาผ่านตัวอักษรทั้งหมด ทั้งความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยคนไข้ไว้ได้ ความอ่อนล้าหลังยืนผ่าตัดติดกัน 6 ชั่วโมง ไปจนถึงความยินดีเมื่อสามารถยื้อชีวิตของคนไข้เอาไว้ได้ รักษาตั้งแต่อาการโคม่าจนกลับไปดำเนินชีวิตได้เหมือนคนปกติ



    Part 2  เป็นช่วงที่คุณ Paul เล่าเรื่องหลังรู้ตัวว่าตัวเองป่วยด้วยโรคมะเร็งค่ะ ทุกคนคะ เนอร์สร้องไห้เหมือนเป็นญาติเขาเองเลย ไม่รู้ว่าเขาเขียนได้อย่างไรเหมือนกัน นึกภาพตามที่เขาเล่าแล้วก็เศร้าค่ะ


    แพทย์ฝีมือดีคนนึงที่กำลังจะได้แตะจุดสูงสุดของชีวิต แทบจะมีทุกสิ่งที่ต้องการในวัยเพียง 35 ปี ต้องมาพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งปอดขั้นที่ 4 เวลาที่เคยเดินไปข้างหน้า อยู่ๆ ก็นับถอยหลัง คนที่เคยสวมเสื้อกาวน์รักษาคนอื่นมาตลอด ตอนนี้ต้องเปลี่ยนไปสวมชุดคนไข้และปล่อยให้คนอื่นรักษาตัวเองแทน


     แต่มันก็เป็นความเจ็บปวดที่งดงามนะคะ ถึงแม้จะเศร้า หดหู่ หมดกำลังใจหลังรู้คำวินิจฉัยของตนเอง แต่คุณ Paul ก็สามารถก้าวต่อไปได้ด้วยกำลังใจจากคนรอบตัว ทั้งภรรยา พ่อแม่ พี่น้อง ญาติๆ ทุกคน เพื่อนสมัยเรียน เพื่อนที่ทำงาน รวมถึงตัวแพทย์ที่รักษาคุณ Paul เองด้วย



     คุณ Paul จะชอบถามแพทย์ประจำตัวเสมอว่าผมอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ แต่เธอไม่เคยตอบเขาเลยค่ะ คำตอบเดียวของเธอคือ 'คุณยังอยู่ได้อีกนาน จะถามทำไม'

     สุดท้าย ตอนอาการเขาทรุดมากๆ เขาถามคำถามเดิมกับเธออีกครั้ง เธอโกหกเขาว่า 'คุณอยู่ได้อีก 5 ปี'  ทั้งที่ความจริงอาจไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ คงเป็นการใช้จิตวิทยาเข้าช่วยด้วยค่ะ บางทีถ้าคนไข้เชื่ออย่างนั้นจริงๆ เขาก็อาจจะอยู่ได้นานกว่าที่ตัวเองคิดไว้  T^T



    อีกสิ่งที่ชอบคือ ตอนที่คุณ Paul และ Lucy (ภรรยา) ตัดสินใจจะมีลูกค่ะ ทั้งคู่ตัดสินใจหลังทราบว่าคุณ Paul ป่วยแล้วด้วยนะคะ เป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญมากกกก ทีแรกคุณ Paul ลังเล เพราะกลัวว่าหลังตัวเองจากไป ภรรยาจะเหนื่อย ต้องเลี้ยงลูกคนเดียว แต่คุณ Lucy ก็ยังยืนยันว่าต้องการมีลูกค่ะ เพราะลูกเป็นสิ่งที่ทั้งคู่ต้องการให้มาเติมเต็มชีวิตครอบครัวโดยตลอด และเธออยากให้ลูกเป็นตัวแทนของเขา หลังเขาจากไปค่ะ



    ช่วงท้ายตอนใกล้จบ เนอร์สร้องไห้แทบทุกหน้าเลยค่ะ สงสารเขา ตอนอาการทรุดคือน่ากลัวมากเลย เนื้อร้ายปฏิเสธยาทุกอย่าง การรักษาทุกประเภท อาหารโปรดที่เคยกินจนหมดกลับแตะแทบไม่ได้ ทานอะไรไปก็อาเจียนออกหมดจนร่างกายขาดน้ำ ไตวาย ระบบหายใจล้มเหลว ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูงจนเข้าขั้นวิกฤติต้องเข้าห้องไอซียู ฮือออ แค่กลับมาพิมพ์ก็จะร้องไห้อีกแล้วค่ะ 😭


    และเนื่องจากเล่มนี้เป็นอัตชีวประวัติ คุณ Paul เขียนเองทั้งหมด แต่หลังเขาเสียชีวิตแล้ว ใครกันที่จะเป็นผู้สานต่อหนังสือเล่มนี้จนจบ?

    คำตอบคือ ภรรยาของเขาเองค่ะ คุณ Lucy เป็นผู้เขียนบทส่งท้ายของหนังสือเล่มนี้ และเขียนได้ดีมากด้วยค่ะ เนอร์สเสียน้ำตาอีกแล้ว ตลอดเวลาที่อ่านหนังสือเล่มนี้ เนอร์สได้อ่านในมุมของคุณ Paul อย่างเดียว เห็นว่าคุณ Lucy อยู่เคียงข้างเขามาตลอด เนอร์สชื่นชมเธอที่มีสติ เก่ง และเข้มแข็งมาก แต่เมื่อได้อ่านพาร์ทสุดท้ายที่เธอเขียนเอง ทำให้เนอร์สได้รู้ว่าเธอเองก็มีมุมอ่อนแอ หลบไปร้องไห้ไม่รู้กี่ครั้ง แต่คนมันรักไปแล้วอ่ะเนอะ ยิ่งเวลาเหลือน้อย ก็ยิ่งต้องใช้ให้คุ้มค่ามากที่สุด


     คะแนนที่หักไปนิดเดียว คงเป็นเรื่องของคำศัพท์ที่ยากเกินความเข้าใจของคนทั่วไป บางช่วงเนอร์สคิดว่าการบรรยายอาจยิ่งใหญ่เกินไปสักหน่อย โครงสร้างประโยคซับซ้อน เข้าใจยาก บางทีอ่านจบพารากราฟแล้วต้องหยุดเพื่อตีความนิดนึงด้วยค่ะ 😂

     และช่วงแรกดำเนินเรื่องค่อนข้างช้า อ่านแล้วมีรู้สึกเบื่อบ้าง ถ้าไม่อดทนคงหยุดอ่านตั้งแต่ช่วงต้นๆ เลยค่ะ แต่พอผ่านช่วงนั้นไปก็สนุกขึ้นเรื่อยๆ จนวางแทบไม่ลงเลยยย




My Favourite Moment: Part II Cease Not Till Death, Page 196



    Time for me is now double-edged. Death. Perhaps later than I think, but certainly sooner than I desire.


    Part of the cruelty of cancer, though, is not only that it limits your time; it also limits your energy.


    Our daughter, Cady. I hope I'll live long enough that she has some memory of me.




คะแนนความยากของภาษาที่ใช้: 7/10

Reason:


       ถ้าทุกคนเคยอ่านรีวิวของเนอร์สมาหลายเล่ม จะเห็นเลยว่าเล่มนี้คะแนนความยากของภาษาสูงที่สุดเลยยย คำศัพท์ยากจริงๆ ค่ะ ศัพท์ทางการแพทย์เยอะมากกก รวมถึงศัพท์เฉพาะทางต่างๆ ด้วย ถ้าตัดคำเหล่านั้นออกไปก็ยังมีศัพท์อีกหลายคำที่แทบไม่เคยเห็น ไม่คุ้นตาเลย เพราะการเขียนของคุณ Paul จะค่อนข้างเน้นการบรรยายที่ประดิษฐ์คำสวยงาม เลยต้องสรรคำที่ไม่ธรรมดามาใช้


     เนอร์สคิดว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะเหมาะกับระดับ Upper-Intermediate หรือ Advanced ขึ้นไปค่ะ ถ้าภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงมาก อาจจะอ่านลำบากสักหน่อย เพราะนอกจากคำศัพท์ที่ยากแล้ว โครงสร้างประโยคยังซับซ้อน ต้องตีความเพิ่มอีกด้วยค่ะ


     ตัวอย่างคำศัพท์ยากนะคะ เช่น haggard, acolyte, ephemera, apostasy, cacophony, ambidextrous, egregious, asunder, cadaver  ประมาณนี้ค่ะ





       แม้จะมีอุปสรรคในเรื่องของภาษาบ้าง แต่เนอร์สก็ยังอยากแนะนำให้ทุกคนลองอ่านเล่มนี้กันนะคะ เป็นหนังสือที่สอนอะไรเนอร์สเยอะมาก ทั้งเรื่องวิชาการ การเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิต  ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ แล้วเจอกันในบล็อกต่อไปเมื่อเนอร์สอ่านเล่มใหม่จบนะคะ ถ้ามีหนังสืออะไรอยากแนะนำให้เนอร์สอ่าน คอมเม้นด้านล่างได้เลยนะคะ  สวัสดีค่า 💗


วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2562

All the Books I've Reviewed Before




    สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อครีวิวหนังสือภาษาอังกฤษของเนอร์สนะคะ หน้านี้จะเปรียบเสมือนสารบัญรวบรวมหนังสือที่เนอร์สเคยรีวิวไว้นะคะ ปัจจุบันเคยเขียนรีวิวไปแล้ว 9 เล่มด้วยกันค่ะ



จิ้มตรงชื่อเรื่องที่ต้องการอ่านได้เลยยยย 👇
























ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ💓






วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2562

English Book Review8: Bird Box


English Book Review8: Bird Box

รีวิวหนังสือ: มองอย่าให้เห็น



    สวัสดีค่าาา ยินดีต้อนรับเข้าสู่การรีวิวหนังสือภาษาอังกฤษเล่มที่ 8 ของเนอร์สนะคะ หายไปครึ่งปีกันเลยทีเดียว ตั้งแต่มหาวิทยาลัยเปิดเทอม เนอร์สก็แทบไม่ได้อ่านอย่างอื่นนอกจากชีทหรือสไลด์ที่เรียนเลย พอมีวันหยุดช่วงปีใหม่เลยขอสักเล่มให้หายคิดถึง ไปดูข้อมูลเบื้องต้นของเล่มนี้กันเลยค่ะ



Title:           Bird Box
ชื่อไทย:      มองอย่าให้เห็น
Author:      Josh Malerman
Category:   Horror/ Thriller
Pages:         381
Price:          ฿350.-
Store:          บูธ Asia Books @งานหนังสือ ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์





เนอร์สซื้อปกภาพคุณ Sandra Bullock จากเวอร์ชั่นหนังของ Netflix มาค่ะ 



Rate / คะแนนเนื้อหา : 8.5 / 10

Reason: *ส่วนที่เป็นสีแดงมีสปอยล์นะคะ*


     ก่อนรีวิวเนอร์สขอเล่าพล็อตเรื่องคร่าวๆ ก่อนนะคะ   Malorie เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว เธอต้องเลี้ยงเด็กชายและเด็กหญิงด้วยตัวคนเดียวมาตลอดระยะเวลา 4 ปีกว่า โดยเธอต้องเลี้ยงลูกให้อยู่ภายในบ้านที่ปิดทึบเท่านั้น ทุกครั้งที่ออกไปข้างนอก เธอต้องสวมผ้าปิดตา เนื่องจากภายนอกมี "สิ่งมีชีวิต" บางอย่างที่เพียงแค่มอง ก็จะส่งผลให้คุณคลุ้มคลั่งและทำร้ายบุคคลรอบข้าง รวมถึงตัวคุณเอง ถ้าคุณเห็นมันแล้ว จุดจบมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือ "ความตาย" เท่านั้น


    เนอร์สชอบตั้งแต่อ่านคำโปรยหลังเล่มเลยค่ะ เนอร์สเป็นคนชอบหนังสือแนว Sci-fi/Thriller อยู่แล้ว ประกอบกับได้ยินมาว่า Netflix เอาเรื่องนี้ไปทำเป็นภาพยนตร์เรียบร้อย เนอร์สจึงหยิบไปจ่ายเงินแบบไม่ลังเลเลยค่ะ


    นอกจากพล็อตที่มีความน่าสนใจแล้ว เนอร์สคิดว่าอีกสิ่งที่คุณจอร์ชทำได้ดีคือการบรรยายค่ะ คุณจอร์ชใช้ภาษาอ่านง่ายมากกก ไม่ยืดเยื้อ กระชับ เรียบง่าย ชัดเจน ไม่ใช้คำฟุ่มเฟือย ทำให้ตอนอ่านไม่รู้สึกเบื่อ แถมยังอยากอ่านต่อไปเรื่อยๆ แทบวางไม่ลงเลยค่ะ บางช่วงลุ้นจนเผลอนั่งตัวเกร็ง บางครั้งก็เผลอกลั้นหายใจตอนอ่าน ลุ้นมากจริงๆ



    ฉากโปรดของเนอร์สที่รู้สึกชอบมาก เลือกแทบไม่ได้เลยค่ะ ที่อยู่ในใจคือ ตอน Malorie และเด็กๆ เจออุปสรรคต่างๆ ระหว่างพายเรือ  ฉากตักน้ำในตำนานของหนุ่ม Felix  ตอน Cherrly ให้อาหารนก  ตอน Malorie ปิดตาขับรถไปเอาของ และสุดท้ายที่ขาดไม่ได้เลย คือคืนที่ Malorie คลอดลูกค่ะ น่ากลัวมากจริงๆ



   จุดเด่นของเรื่องนี้คือการใช้ภาษาเล่าเรื่องที่ทำให้นึกภาพตาม คิดตาม ลุ้นตามจนตัวโก่ง แถมยังมีจุดพีคหลายๆ จุดด้วยค่ะ เนอร์สประทับใจมากเลย แต่ส่วนพีคๆ คงเล่าให้ฟังไม่ได้เนอะ เดี๋ยวทุกท่านไปอ่านด้วยตัวเองแล้วจะหมดโอกาสลุ้น  หมดสนุกเอา


    อีกส่วนที่ชอบคือการวางลำดับเนื้อหาการเล่าเรื่องค่ะ เนอร์สชอบการเล่าเรื่องของคุณจอร์ชมาก เป็นการเล่าเรื่องสลับกันระหว่างพาร์ทปัจจุบันที่ Malorie กำลังพายเรือพาเด็กๆ หนีไปอยู่ที่อื่น กับพาร์ทอดีตตั้งแต่ตอนเจ้าสัตว์ประหลาดเริ่มระบาดใหม่ๆ เป็นการเขียนที่วางแผนดีมากเลยค่ะ คุณจอร์ชเปิดมาด้วยพาร์ทปัจจุบัน ต่อมาก็สลับไปเล่าตอนทุกอย่างเพิ่งเริ่มต้น จบบทนึงก็กลับไปบรรยายช่วงพายเรือต่อ แล้วสลับมาเล่าอดีตอีก ทำได้ดีทั้งสองพาร์ทเลยด้วย


    สุดท้ายนี้ เนอร์สชอบการพยายามตอบข้อสงสัยของผู้อ่านและการวางพล็อตอย่างแน่นหนาของคุณจอร์ชด้วยค่ะ ขณะอ่านเนอร์สก็เคยมีหลายคำถามผุดขึ้นมาในหัวเหมือนกัน แต่พออ่านไปเรื่อยๆ แล้ว คำถามส่วนใหญ่ก็ได้รับคำตอบจากเนื้อเรื่องหมดเลยยย



   หลายท่านคงนึกในใจแล้วว่ารีวิวดีขนาดนี้ ทำไมไม่ให้คะแนนเต็ม 55555 เหตุผลของเนอร์สคือมันมีบางฉากบางตอนที่เนอร์สมองว่าไปได้สุดมากกว่านี้ค่ะ บางฉากก็อยากให้บรรยายเพิ่มสักหน่อย มันดาร์กได้มากกว่านี้ มันอินได้มากกว่านี้ ในส่วนของตอนจบ เนอร์สคิดว่ามันดูจะตัดบทไปสักหน่อย และเนอร์สเองก็ยังอยากได้ข้อมูลของเจ้าสัตว์ประหลาดมากกว่านี้ด้วยค่ะ มันมาจากไหน? หน้าตา รูปร่างเป็นอย่างไร? มีเจตนาอะไร ทำไมถึงทำให้คนคลุ้มคลั่งได้? ยังรู้สึกค้างคาอยู่ค่ะ



    โดยรวมแล้วเนอร์สชอบหนังสือเล่มนี้นะคะ ไม่ผิดหวังที่ซื้อมาอ่าน ส่วนเวอร์ชั่นหนังเนอร์สยังไม่เคยดู เลยเปรียบเทียบไม่ถูกว่าหนังหรือหนังสือดีกว่า ใครเคยอ่าน ใครเคยดู มาคอมเม้นเล่าสู่กันฟังได้นะคะ💗



My Favourite Moment: Page 322



' Tom. I'm going to have to open my eyes. Talk to me. Please. tell me what to do. Tom, I'm going to have to open my eyes.'


     His voice comes from ahead. He sounds like the sun, the only light in all this darkness.


    The blindfold is pulled an inch farther from her face. The knot presses against the back of her head.


'Tom, I'm going to have to open my eyes.'




And, so.....she does



คะแนนความยากของภาษาที่ใช้: 4/10

Reason:

      สำหรับเนอร์ส คำศัพท์ไม่ยากมากนะคะ น่าจะอยู่ในระดับ Low-Intermediate ค่ะ ไวยากรณ์ การเรียงคำ การเรียงประโยคก็ไม่ซับซ้อนด้วย เข้าใจง่าย เนอร์สคิดว่าบทแรกๆ มีศัพท์ยากพอประมาณ แต่ยิ่งอ่านไปศัพท์ยิ่งง่ายขึ้นค่ะ ช่วงกลางๆ เรื่องไปคืออ่านแบบไม่หยุด ไม่สะดุด ไม่ติดขัดเลย หลังๆ ก็แทบจะไม่มีคำศัพท์ที่ไม่เคยเห็นเลยค่ะ


    ตัวอย่างศัพท์ยากนะคะ  abyss, meagre, zenith, mishmash, immolation, amalgamation, consensus ประมาณนี้ค่ะ แต่ปกติจะเป็นศัพท์ทั่วๆ ไปที่เราเคยเห็นผ่านตาเลยค่ะ ศัพท์ยาก ศัพท์แปลก ศัพท์เฉพาะมีน้อยมาก







     เนอร์สขอขอบคุณทุกท่านที่กดเข้ามาอ่านบล็อคนี้นะคะ และขอบคุณสำหรับความคิดเห็นด้วยค่ะ ท่านใดอยากพูดคุยกัน หรือมีหนังสือเล่มไหนอยากแนะนำให้เนอร์สอ่าน คอมเม้นด้านล่างได้เลยค่ะ เนอร์สอ่านทุกคอมเม้นเลยนะ แล้วเจอกันเมื่อเนอร์สอ่านเล่มต่อไปจบค่ะ สวัสดีค่ะ



วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2562

English Book Review7: To All The Boys I've Loved Before

English Book Review7: To All The Boys I've Loved Before

รีวิวหนังสือ: แด่...ชายทุกคนที่ฉันเคยรัก 



    สวัสดีค่ะทุกท่าน💓  เนอร์สกลับมาเขียนรีวิวหนังสือแล้วค่ะ หลังจากห่างหายกันไปนานพอสมควรเลย เป็นช่วงเวลาแห่งการอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยเนอะ ตอนนี้เนอร์สมีที่เรียนเรียบร้อยแล้ว เลยกลับมาหาหนังสืออ่านเล่นและเขียนรีวิวต่อค่ะ


  มาดูข้อมูลของเล่มนี้กันก่อนเลยยย



Title:           To All The Boys I've Loved Before
ชื่อไทย:      แด่...ชายทุกคนที่ฉันเคยรัก
Author:      Jenny Han
Category:   Young adult/ Romance
Pages:         355
Price:          ฿375.-
Store:          บูธ Asia Books @งานหนังสือ ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์






เนอร์สเลือกซื้อปกนี้มากค่ะ ชอบทั้งภาพปกและรูปแบบตัวอักษรเลยยย




Rate / คะแนนเนื้อหา : 7.5 / 10
Reason: *ส่วนที่เป็นสีแดงมีสปอยล์นะคะ*


    เป็นเรื่องราวของ Lara Jean เด็กสาวไฮสคูลลูกครึ่งอเมริกัน-เกาหลีค่ะ ลาร่าใช้ชีวิตอยู่กับคุณพ่อ พี่สาว และน้องสาว คุณแม่เธอจากไปตั้งแต่เธอยังเด็ก เวลาที่ลาร่าแอบปลื้มใคร เธอจะชอบเขียนจดหมายบรรยายความรู้สึกที่มีต่อคนๆนั้น พร้อมจ่อหน้าซองถึงเขา แต่ไม่ได้ส่งให้เจ้าตัวโดยตรง เธอจะเก็บพวกมันไว้ในกล่องใส่หมวกที่แม่เคยให้ไว้แทนค่ะ แต่วันหนึ่งจดหมายเหล่านั้นกลับถูกส่งไปถึงผู้ชายที่ลาร่าเคยชอบทั้ง 5 คน! ชีวิตของลาร่าจึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป



   เนอร์สชอบพล็อตของเรื่องนะคะ น่าสนใจประมาณนึงเลย ส่วนเรื่องการนำเสนอเรื่องในด้านต่างๆ คาร์แรคเตอร์ของตัวละคร ความสัมพันธ์แต่ละรูปแบบ เดี๋ยวเราจะมาดูทีละส่วนกันนน



   เรื่องนี้นำเสนอเรื่องผ่านตัวนางเอก เหมือนตัวลาร่าเป็นผู้เล่าค่ะ เนอร์สคิดว่าทำได้ดีนะคะ บรรยายไม่น่าเบื่อ ไม่ซับซ้อนมาก ค่อนข้างสั้น กระชับ เข้าใจง่าย แต่ก็มีจุดด้อยอยู่บ้างค่ะ (เป็นความเห็นส่วนตัวของเนอร์สนะ) จุดด้อยคือ ในเรื่องจะมีศัพท์แสลงพอประมาณเลยค่ะ แถมยังมีชื่อเสื้อผ้า อาหาร ขนมของบ้านเขาเยอะมากกก บางครั้งพอเราไม่เคยได้ยินมาก่อนก็จะนึกภาพตามไม่ออก อ่านแล้วไม่อินเท่าที่ควร เนอร์สเลยต้องคอยเสิร์ชหาภาพดูอยู่บ่อยๆค่ะ



   ส่วนคาร์แรคเตอร์ของตัวละครมีมิติดีค่ะ เนอร์สคิดว่าตัวลาร่ายังมีการกระทำหลายอย่างที่ไม่ make sense นะ มีหลายครั้งที่เนอร์สรู้สึกหงุดหงิด อึดอัด ไม่เข้าใจการกระทำของตัวละคร แต่ถ้ามองในมุมกลับกัน นี่อาจจะเป็นความตั้งใจของคนเขียนก็ได้ค่ะที่อยากจะนำเสนอตัวนางเอกออกมาในทางนี้ ลาร่าอายุ 16 เอง กำลังเป็นสาวเลย อาจเป็นเรื่องปกติของคนในช่วงวัยนี้ เห็นได้ชัดว่าหลายครั้งก่อนจะพูดหรือทำอะไรเธอก็ไม่ได้ไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน จนสุดท้ายก็ทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก


   แต่เนอร์สชอบในส่วนของการบรรยายเรื่องครอบครัวของลาร่านะคะ เป็นครอบครัวที่อบอุ่นมากกก และถ้าใครมีพี่น้องจะรู้สึกเลยว่าคุณเจนนี่เขียนออกมาได้ตรงชีวิตจริงสุดๆ มีหลายฉากเลยค่ะที่เนอร์สอ่านแล้วรู้สึกว่าใช่มาก ตัวลาร่าเป็นลูกคนกลางจะค่อนข้างกดดัน ตรงที่พี่สาวคนโตเพอร์เฟ็กต์มาก เก่งทุกด้าน ทั้งการเรียนและงานในบ้าน ลาร่าเลยอยากจะเป็นแบบพี่สาวบ้างเพื่อที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้น้องด้วย ถือว่านำเสมอประเด็นในครอบครัวได้สมบูรณ์แบบสำหรับเนอร์สค่ะ ไม่มีอะไรจะติในส่วนนี้



   มาเรื่องความรักกันบ้าง ถ้าอ่านแบบสบายๆไม่จ้องจับผิดอะไร ก็นับว่าเขียนออกมาได้น่ารักดีค่ะ ช่วงที่ลาร่าอยู่กับปีเตอร์น่ารักมากๆ แต่ถ้าลองคิดลึกๆในเรื่องของที่มาที่ไปของการกระทำต่างๆ พื้นเพนิสัยของตัวละคร จะรู้สึกว่ามีบางช่วงที่ไม่สมเหตุสมผลและน่าสับสนอยู่หน่อยๆค่ะ ตัวละครหลักชอบทำให้ปัญหาที่มีอยู่แล้วมันแก้ยากยิ่งกว่าเดิมตลอดเวลาเลย โดยเฉพาะลาร่าที่เก่งที่สุดในเรื่องการหนีปัญหา พออ่านไปถึงตอนเกือบจบแล้ว เนอร์สก็ไม่โอเคกับการกระทำของปีเตอร์ด้วยค่ะ ทำไมไม่คุยปรับความเข้าใจกันให้มันจบๆไปน้อออ



   ดังนั้น  2.5 คะแนนที่เนอร์สหักไป ก็คือเรื่องการกระทำที่ย้อนแย้งของตัวละคร และการบรรยายบางส่วนที่เกินความจำเป็นค่ะ เนอร์สรู้สึกว่าบางฉากคุณเจนนี่ใส่รายละเอียดมากเกินไปหน่อย โดยที่มันไม่ได้มีความจำเป็นมากขนาดนั้น ถ้าอ่านไม่ทนอาจรู้สึกเบื่อเอาได้ค่ะ




    โดยสรุปแล้ว สำหรับแฟนหนังสือแนว Young Adult/ Romantic-Comedy เนอร์สก็เชียร์ให้ลองอ่านนะคะ อ่านเล่นๆเพลินๆ แก้เบื่อ ก็ทำให้ยิ้มตามได้อยู่เหมือนกัน แต่หนังสือเล่มนี้ไม่ได้จบสมบูรณ์นะคะ จบค้างไว้ให้ไปอ่านในภาคต่อค่ะ ชื่อเรื่องว่า P.S. I Still Love You เนอร์สยังไม่ได้ซื้อมาอ่านเลยค่ะ ถ้ามีโอกาสได้อ่านเมื่อไหร่จะมาเขียนรีวิวเล่าสู่กันฟังนะคะ







My Favourite Moment: Chapter 41, Page 223


'If people knew you, they would love you.'  He sounds so matter-of-fact.

    

   Josh, you broke my heart. And you're a liar. 


    Because you know me. You know me better than almost anybody, and you don't love me :(






คะแนนความยากของภาษาที่ใช้: 4.5/10
Reason:


   คุณเจนนี่ใช้ภาษาในการบรรยายไม่ค่อยยากนะคะ แต่ปัญหาอาจอยู่ที่ศัพท์แสลงที่แทรกอยู่ในบทสนทนาค่ะ เพราะตัวลาร่า พี่สาว น้องสาว แฟน และเพื่อนๆของเธออยู่ในช่วงวัยรุ่นกันหมดเลย การพูดคุยก็มักจะใช้ศัพท์แสลงหรือสำนวนบ่อยๆ อาจต้องหยุดอ่านไปเสิร์ชหาความหมายบ้างนิดนึงค่ะ 


    ถ้าใครหาคำไหนไม่เจอหรือไม่เข้าใจจุดไหนสามารถคอมเม้นถามเนอร์สได้นะคะ อีกจุดที่ยากคือคำศัพท์เกี่ยวกับเสื้อผ้า อาหาร และขนมค่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารกับขนมที่บ้านเราไม่มีหรือไม่คุ้นเคย ก็อาจจะงงกันสักหน่อย แต่ Google ช่วยได้เสมอ เนอร์สแนะนำให้เสิร์ชภาพดูเลยค่ะ



    ระดับความยากของคำศัพท์น่าจะอยู่ช่วง Intermediate ค่ะ ตัวอย่างศัพท์ยากนะคะ เช่น ruefully, spiel, wily, jovially, serene, placidly, gullible, fervently ในหนึ่งหน้าเนอร์สจะมีศัพท์ที่ไม่รู้ประมาณ 2-3 คำค่ะ 







    ขอบคุณทุกท่านที่กดเข้ามาอ่านนะคะ หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์กับทุกคนไม่มากก็น้อยเนอะ ไว้พบกันใหม่เมื่อเนอร์สอ่านเล่มต่อไปจบนะคะ สวัสดีค่าาา


วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2561

English Book Review6: The Boy in the Striped Pyjamas

English Book Review6: The Boy in the Striped Pyjamas

รีวิวหนังสือ: เด็กชายในชุดนอนลายทาง


      สวัสดีค่ะทุกคนนน เนอร์สกลับมาแล้วค่า ในโพสต์นี้เนอร์สจะมารีวิวหนังสือที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อผ่านหูผ่านตามาบ้างจากการถูกสร้างเป็นภาพยนตร์นะคะ 
       มาดูข้อมูลเบื้องต้นของหนังสือเล่มนี้กันก่อนเลยยยยย


Title:           The Boys in the Striped Pyjamas
ชื่อไทย:        เด็กชายในชุดนอนลายทาง
Author:      John Boyne
Category:   Vintage/Classics/Drama
Pages:         223
Price:          ฿325.-
Store:          บูธ Asia Books @งานหนังสือ ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์




Rate / คะแนนเนื้อหา : 9 / 10
Reason: *ส่วนที่เป็นสีแดงมีสปอยล์นะคะ*


       ขอเล่าเรื่องย่อๆ ก่อนเลยนะคะ เรื่องมีอยู่ว่า บรูโน่ เด็กชายวัย 8 ขวบต้องย้ายบ้านกะทันหัน จากที่เคยอยู่กลางเมืองใหญ่กลับต้องไปอยู่ในย่านชนบท เนื่องจากพ่อของน้องซึ่งเป็นทหารนาซีถูกย้ายให้ไปคอยคุมค่ายกักกันเชลยชาวยิวที่อยู่แถบชานเมืองค่ะ แน่นอนว่าหนูน้อยวัย 8 ขวบไม่ได้ตระหนักเลยว่าขณะนี้ทั่วโลกกำลังอยู่ในช่วงวิกฤติสงคราม น้องได้ไปเจอกับ ชามูแอล เด็กชายในชุดนอนลายทางที่อาศัยอยู่ในค่ายกักกันโดยบังเอิญ และกลายเป็นเพื่อนสนิทกันในเวลาไม่นาน

       ถ้าจะชมอะไรในเรื่องนี้ (ซึ่งความจริงมีหลายจุดที่อยากจะชมมากๆ) จุดแรกที่เนอร์สขอชมคงจะเป็นตัวผู้เขียนค่ะ คุณจอห์นเก่งมากกกกกก มากถึงมากที่สุดเลยค่ะในเรื่องของการบรรยาย การบรรยายให้เรารู้สึกสะเทือนใจตามนี่ทำได้ดีมากเลยค่ะ บางฉากอ่านแล้วรู้สึกหดหู่ ใจหาย แต่สิ่งที่ทำให้เนอร์สรู้สึกว่าคุณจอห์นพิเศษกว่านักเขียนท่านอื่น ก็ตรงที่เขาสามารถบอกเล่าเรื่องราวทั้งเรื่องผ่านมุมมองของเด็กชายวัย 8 ขวบได้อย่างสมบูรณ์แบบนี่แหละค่ะ

      เนอร์สชื่นชมตรงจุดนี้จริงๆ เพราะไม่เคยอ่านหนังสือที่เล่าเรื่องราวผ่านมุมมองของเด็กมาก่อน และยิ่งเล่มนี้เป็นเรื่องราวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว เนอร์สว่ามันยากมากๆ ที่จะถ่ายทอดทุกอย่างออกมาผ่านสายตาเด็กให้ผู้อ่านทุกคนเข้าใจ แต่คุณจอห์นทำออกมาได้ยอดเยี่ยมจริงๆค่ะ

       หนังสือไม่ได้ปล่อยความรู้สึกมืดมนตลอดทั้งเล่มนะคะ บางบทก็มีฉากน่ารักๆ ของบรูโน่ที่ทำให้เนอร์สยิ้มตาม อย่างตอนที่น้องถามความคิดเห็นจากแม่บ้าน เพราะคิดว่าเธอเป็นส่วนนึงของครอบครัวนี่ก็น่ารักมากๆ เลยค่ะ แม่บ้านที่เครียดๆ อยู่ยังแอบยิ้มเลย คนอ่านก็ยิ้มตามเหมือนกัน หลายๆ ฉากที่ได้ไปเที่ยวเล่นกับชามูแอล ได้อ่านบทสนทนาที่เด็กๆ เขาคุยกัน ก็ให้ความรู็สึกสดใสมากๆ เลยค่ะ สื่อถึงความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเด็กได้ดี 

       ถ้ามองในแง่ของการบอกเล่าประวัติศาสตร์ เนอร์สก็ไม่มีอะไรจะติค่ะ คิดว่าทำได้ดีแล้ว ไม่มีตอนไหนเลยที่ผู้เขียนบอกชื่อของหัวหน้าพรรคนาซี หรือ "อดอล์ฟ ฮิตเลอร์" ออกมาตรงๆ แต่อ่านจากลักษณะที่บรูโน่บรรยาย ท่าทางที่ทำ ชื่อภรรยา ก็เดาได้ไม่ยากเลยค่ะ การบรรยายลักษณะค่ายกักกัน การแต่งกายของเชลยชาวยิว การโดนทารุณ โดนทำร้าย โดนฆ่าอย่างไร้ความเมตตา ถ่ายทอดออกมาได้สะเทือนใจที่สุดเลยค่ะ

      ส่วนที่หักไป 1 คะแนน จะเป็นเรื่องของตอนจบเลยค่ะ โดยส่วนตัวเนอร์สคิดว่ามันควรไปได้สุดมากกว่านี้ สะเทือนใจเรียกน้ำตาได้มากกว่านี้ ดาร์กได้อีกค่ะ เพราะตอนดูหนังนี่เนอร์สร้องไห้เลยค่ะ พอมาอ่านหนังสือก็คือเหมือนทำใจรอแล้วค่ะ แต่ปรากฎว่าพออ่านจบแล้วให้ความรู้สึกเหมือนเวลากำลังโดนคลื่นซัดใส่แล้วเราหลับตาตั้งรับเต็มที่ แต่ปรากฎว่าพอลืมตามาแล้วดันไม่มีอะไรเกิดขึ้น แบบนั้นเลยค่ะ55555

      แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเฉยจนไม่รู้สึกอะไรเลยนะคะ ก็ยังหดหู่ค่ะ แค่น้อยกว่าที่คาดเอาไว้ คนเขียนเข้าใจเล่นกับความรู้สึกของผู้อ่าน โดยการเขียนให้บรูโน่มองโลกทุกอย่างในมุมมองของเด็กชายน่ารัก จิตใจดี พอตอนจบก็เหมือนหักอกเราเล่นๆ เลยค่ะ เหมือนหลอกให้พวกเรารักตัวละคร แล้วก็...นั่นแหละค่ะ ถ้าใครเคยดูหนังหรือเคยอ่านหนังสือแล้วก็คงเข้าใจเนอร์ส ส่วนถ้าใครยังไม่เคยลอง ไปลองดูลองอ่านกันนะคะ คุ้มค่าแก่เวลาที่เสียไปแน่นอนค่ะ



My Favourite Moment: Chapter 6-The Overpaid Maid, Page 60

     'So you don't like it here then?' asked Bruno.
     Maria frowned.  'It's not important' she said.
     'What isn't?' 
     'What I think'

     'Well, of course it's important' said Bruno 'You're part of the family, aren't you?'


น้องงงงง ทำไมน่ารักขนาดนี้ แง



คะแนนความยากของภาษาที่ใช้: 4/10
Reason:

         ความจริงคำศัพท์ไม่ยากมากค่ะ เพราะว่าเล่าเรื่องในมุมมองของเด็กด้วย ส่วนใหญ่เลยเป็นศัพท์ทั่วไป สำหรับเนอร์สคือหน้านึงจะมีศัพท์ที่ไม่รู้แค่ 1-2 คำเองค่ะ บางหน้าก็ไม่มีเลย แต่ก็อาจจะเจอโครงสร้างประโยคที่ซับซ้อนเข้าใจยากบ้าง เนื่องจากเป็นการเล่าเรื่องสงครามเนอะ และอีกส่วนนึงเนอร์สว่าน่าจะเป็นความตั้งใจของคนเขียนค่ะ ที่ตั้งใจสื่อสารผ่านตัวเอกที่เป็นเด็กทำให้น้องยังเรียบเรียงประโยคได้ไม่สละสลวยนัก

         ระดับคำศัพท์น่าจะอยู่ในช่วง Low Intermediate ค่ะ ตัวอย่างศัพท์ยากเช่นคำว่า summon, ointment, disdain, courtesy, distaste, triumphantly ประมาณนี้ค่ะ แต่ว่าสามารถเสิร์ชหาความหมายได้ในกูเกิ้ลเลยค่ะ หรือถ้ามีส่วนไหนสงสัย มาคอมเม้นถามเนอร์สได้นะคะ


เนอร์สมีหน้าที่ประทับใจเยอะมากๆ มาลองอ่านกันค่ะ


       สุดท้ายนี้ เนอร์สก็ขอขอบคุณผู้ที่อ่านมาจนจบเหมือนเดิมนะคะ เป็นบล็อคที่เนอร์สตั้งใจบันทึกไว้อ่านเอง แต่เล่มที่ผ่านๆ มามีคนอ่านเกินร้อยตลอดเลย ดีใจมากๆ ขอบคุณนะคะ แล้วเจอกันเมื่อเนอร์สอ่านเล่มหน้าจบนะคะ ถ้าอ่านจบเร็วอาจจะได้รีวิวภายในปีนี้ค่ะ 😊💓